แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลที่ทำไว้กับโจทก์ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินหนึ่งแปลงพร้อมเรือนหนึ่งหลังซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว อ้างว่าเป็นของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลกันเงินที่ขายทอดตลาดที่ดิน และโรงเรือนดังกล่าวไว้จ่ายให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นผู้ร้องและจำเลยรวมกันได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องและจำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาและต่างก็มีรายได้ ที่ดินและเรือนพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน หนี้สินระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นเรื่องเฉพาะตัว ดังนี้ การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไปยืมเงินโจทก์มาใช้จ่ายในการดำรงชีพและนำมาซื้อที่ดินพร้อมทั้งปลูกเรือนพิพาท และผู้ร้องรู้เห็นในการกู้ยืมด้วย จึงเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืม จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในศาลยอมตกลงชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง ต่อมาจำเลยผิดนัดโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินหนึ่งแปลงพร้อมด้วยเรือนหนึ่งหลังบนที่ดินดังกล่าว อ้างว่าเป็นของจำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลกันเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินและโรงเรือนดังกล่าว ซึ่งมีราคารวมกันเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ไว้จ่ายให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องเป็นของผู้ร้อง และจำเลยรวมกันได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยยืมเงินบิดาจำเลยมาซื้อที่ดินพิพาท ส่วนโรงเรือนพิพาทนั้น บิดาจำเลยยืมเงินจากผู้มีชื่อซื้ออุปกรณ์การก่อสร้างต่าง ๆ จากร้านค้าและเป็นผู้จัดการปลูกสร้างให้ ต่อมาบิดาจำเลยไม่มีเงินชำระหนี้ จำเลยจึงกู้เงินโจทก์มาใช้แทน ที่ดินและโรงเรือนพิพาทจึงต้องผูกพันหนี้สินที่จำเลยเป็นลูกหนี้
ศาลชั้นต้นฟังว่า ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของรวมในที่ดินและโรงเรือนพิพาทกับจำเลย สั่งให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทไว้จ่ายให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อ ๒ ง. โดยว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ผู้ร้องและจำเลยแต่งงานกันตามประเพณีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาที่บ้านบิดาของผู้ร้อง ผู้ร้องกับจำเลยต่างก็มีรายได้ที่ดินและเรือนพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน มิใช่เกิดจากการที่จำเลยกู้ยืมเงินผู้อื่นมาซื้อที่ดินและปลูกสร้างโรงเรือนผู้ร้องมิได้รู้เห็นที่จำเลยยืมเงินโจทก์ หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่โจทก์ฎีกาว่าสามีเป็นหัวหน้าครอบครัวย่อมมีสิทธิจัดการทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันและทำมาหาได้ร่วมกัน ที่จำเลยไปก่อนหนี้สินขึ้นระหว่างเป็นสามีผู้ร้องย่อมผูกพันที่ดินและเรือนพิพาทที่โจทก์นำยึด เพราะพิสูจน์ไม่ได้ว่าเงินที่จำเลยยืมจากโจทก์ไม่ได้นำมาใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำรงชีพของผู้ร้องและจำเลยนั้น เห็นว่าจำเลยไปยืมเงินโจทก์มาใช้จ่ายในการดำรงชีพตลอดจนนำมาซื้อที่ดินพร้อมทั้งปลูกเรือนพิพาทหรือไม่และผู้ร้องรู้เห็นในการกู้ยืมด้วยหรือไม่ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๖ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ข้อ ๒ ง.ว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมายนั้นไม่ชอบ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย