คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2869/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะแซงรถจักรยานยนต์ของ ป. ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของผู้ตาย ขณะเดียวกันผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยประมาณ 50 เซนติเมตร เป็นเหตุให้รถชนกันเช่นนี้ จำเลยจึงขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้
ผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย สำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) มารดาของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจกท์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 47, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางวินัย มารดาของนายบัวลอย ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 47 วรรคหนึ่ง, 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ป-5687 กำแพงเพชร ไปตามถนนสายกำแพงเพชร – ท่ามะเขือ จากทางบ้านท่ามะเขือมุ่งหน้าไปทางด้านอำเภอเมืองกำแพงเพชร เมื่อถึงที่เกิดเหตุระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 12 ถึง 13 หมู่ที่ 5 ตำบลเทพนคร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ชนกับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กำแพงเพชร น-4335 ซึ่งนายบัวลอย ผู้ตาย ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายและผู้ตายถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาสรุปได้ว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียว เห็นว่า โจทก์มีนายประสาร และนางยุพา เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า นายประสาร และนางยุพาเป็นสามีภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา นายประสารขับรถจักรยานยนต์มีนางยุพาซ้อนท้ายมุ่งหน้าไปทางจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีรถยนต์กระบะสีแดงขับแซงขึ้นไปทางขวา บางส่วนของรถยนต์กระบะคันดังกล่าวล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไป ขณะเดียวกันในช่องเดินรถสวนมีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งแล่นสวนทางมา เมื่อรถยนต์กระบะแซงไปได้ประมาณ 20 เมตร ได้ยินเสียงดังโครมเหมือนรถชนกัน นายประสารจึงชะลอรถชิดขอบทางด้านซ้ายแล้วจอดรถ ขณะนั้นมีรถยนต์กระบะคันหนึ่งแล่นตามหลังรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาทิ้งช่วงห่างกันไม่มากนัก รถยนต์กระบะคันดังกล่าวได้หักหลบเลี้ยวเข้ามาในช่องเดินรถของนายประสารอ้อมรถยนต์กระบะสีแดงแล้วผ่านเลยไป คำเบิกความของนายประสารและนางยุพาดังกล่าว สอดคล้องกับสภาพของรถยนต์กระบะของจำเลยและสภาพศพผู้ตายหลังเกิดเหตุ ซึ่งพันตำรวจตรีไพฑูรย์ พนักงานสอบสวนออกไปตรวจที่เกิดเหตุและถ่ายรูปไว้ทันทีหลังจากได้รบแจ้งเหตุใหม่ๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีคนเลื่อนย้ายรถยนต์กระบะของจำเลย ตามคำเบิกความของจำเลยแต่อย่างใด เพราะรถยนต์กระบะที่แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้ตายมาในระยะใกล้ชิดขับอ้อมไปทางช่องทางเดินรถของนายประสาร เมื่อพิจารณาสภาพความเสียหายของรถยนต์กระบะของจำเลย ปรากฏว่ารถยนต์กระบะของจำเลยได้รับความเสียหายค่อนไปทางด้านหน้าซ้ายของรถยนต์ แสดงให้เห็นว่ารถยนต์กระบะของจำเลยขับล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถสวนจริงตามคำเบิกความของนายประสารและนางยุพา เพราะหากผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ล้ำเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวแล้ว น่าจะชนทางด้านขวาของรถยนต์กระบะของจำเลยเสียมากกว่า เพราะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุด แม้ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพันตำรวจตรีไพฑูรย์พนักงานสอบสวน พบคราบน้ำมันอยู่เลยเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนไปทางช่องเดินรถของจำเลยประมาณ 50 เซนติเมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นจุดชนอันหมายถึงผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยด้วยนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุรถชนกันเกิดจากผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยฝ่ายเดียว เพราะจำเลยก็เป็นฝ่ายขับรถแซงขึ้นไปในช่องเดินรถของผู้ตายเช่นเดียวกัน ดังนั้น พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะแซงรถจักรยานยนต์ของนายประสารล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของผู้ตาย ขณะเดียวกันผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยประมาณ 50 เซนติเมตร เป้ฯเหตุให้รถชนกันเช่นนี้ จำเลยจึงขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติตามฟ้องโจทก์ว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) มารดาของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางวินัย เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางวินัย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share