คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2863/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฟ้องแย้งในทำนองว่า หากจำเลยต้องออกจากที่พิพาทที่เช่าแล้ว โจทก์ทั้งสองจะต้องชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามที่กล่าวอ้างไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของที่พิพาทเดิมเป็นเงิน 2,000,000 บาท ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองต่อเมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่มีสัญญาต่างตอบแทน และศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขกล่าวคือจะให้ถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ถ้าจำเลยชนะคดีตามคำให้การ ฟ้องแย้งของจำเลยก็ตกไป จึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา179 วรรคสุดท้าย ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา สัญญาต่างตอบแทนนอกเหนือจากการเช่าเป็นบุคคลสิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาคือจำเลยและ ด. เท่านั้น หามีผลผูกพันผู้รับโอนซึ่งมิได้รู้เห็นและยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อสัญญานั้นด้วยไม่เมื่อจำเลยมิได้ให้การว่าโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทจาก ด. ได้ยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างจำเลยกับ ด. สัญญาต่างตอบแทนดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจึงชอบแล้ว จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้ง และให้งดสืบพยาน จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 127/2 ซึ่งปลูกอยู่ที่ดินตามฟ้องและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางดารา ยายของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากนางดาราตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 มีข้อตกลงว่าให้จำเลยเช่าเพื่อทำการค้าตลอดชีวิตของจำเลย โดยจำเลยต้องจัดหาดินมาถมที่พิพาทซึ่งมีลักษณะเป็นบ่อเลี้ยงปลาหลายแห่งให้เรียบร้อยและให้จำเลยปลูกบ้านในที่พิพาท 1 หลัง โดยให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางดาราเมื่อจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงสิ้นค่าใช้จ่ายไปเป็นเงิน 3,000,000 บาทเศษ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งผูกพันนางดาราให้ต้องให้จำเลยเช่าที่พิพาทตลอดชีวิตของจำเลย โจทก์ทั้งสองต้องรับโอนสิทธิและหน้าที่จากนางดาราให้จำเลยเช่าที่พิพาทต่อไปจนตลอดชีวิตของจำเลย การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยให้ออกจากที่พิพาทโดยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงทำให้จำเลยเสียหายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมที่พิพาทและปลูกสร้างบ้านในที่พิพาทเป็นเงินกว่า 3,000,000 บาท จำเลยขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 2,000,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 2,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้งไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การของจำเลย ส่วนฟ้องแย้งเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขและขัดกับคำขอให้ยกฟ้องโจทก์ จึงสั่งไม่รับฟ้องแย้ง ต่อมาเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยาน และพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องโฉนดเลขที่ 13524 และ1474 ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 127/2 ถนนพหลโยธิน แขวงคลองถนนเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินตามฟ้อง และทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินเดือนละ 6,032 บาท นับจากวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2532 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายและส่งมอบที่ดินให้โจทก์เป็นที่เรียบร้อย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาเป็นข้อแรกว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่ศาลชอบจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยกล่าวอ้างในฟ้องแย้งว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากนางดารา บุณยรักษ์ เจ้าของที่พิพาทเดิมโดยมีข้อตกลงว่า นางดาราจะให้จำเลยเช่าที่พิพาททำการค้า วัสดุก่อสร้างตลอดชีวิตของจำเลยโดยจำเลยต้องจัดหาดินมาถมที่พิพาท ซึ่งขณะนั้นมีลักษณะเป็นบ่อเลี้ยงปลาหลายแห่งให้เรียบร้อย และให้จำเลยปลูกบ้านในที่พิพาท 1 หลัง โดยให้บ้านดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางดารา เมื่อจำเลยถึงแก่กรรมซึ่งจำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นแล้วและเสียค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้นเป็นเงินประมาณ 3,000,000 บาทเศษ ข้อตกลงระหว่างจำเลยกับนางดารา ดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนผูกพันนางดาราให้ต้องยินยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาทตลอดชีวิตของจำเลย โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้รับโอนที่พิพาทจากนางดาราต้องยินยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาทต่อไปจนตลอดชีวิตของจำเลยตามสัญญาต่างตอบแทนนั้น การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยออกไปจากที่ดินโดยไม่ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว ทำให้จำเลยเสียหายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมดินและปลูกบ้านในที่พิพาทดังกล่าวไปเป็นเงินเกินกว่า 3,000,000 บาท ขอให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้จำเลยเป็นเงิน 2,000,000 บาทนั้น เห็นว่า จำเลยฟ้องแย้งในทำนองว่า หากจำเลยต้องออกจากที่พิพาทที่เช่าแล้วโจทก์ทั้งสองจะต้องชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามที่กล่าวอ้างไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของที่พิพาทเดิมเป็นเงิน 2,000,000 บาท ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองต่อเมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงว่าไม่มีสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลย และศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะให้ถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ถ้าจำเลยชนะคดีตามคำให้การ ฟ้องแย้งของจำเลยก็ตกไป จึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามและมาตรา 179 วรรคสุดท้าย ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณาตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 458/2526 ระหว่าง นางสังเวียน สิทธิราชาโจทก์ นายพงศ์พันธุ์ แซ่โง้ว จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 2972/2526ระหว่าง นายซิวเล้ง แซ่เชาว์ โจทก์ นายแพทย์วัชรินทร์ รักบัวจำเลย ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างนั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพราะศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ทั้งสองรับรู้สัญญาต่างตอบแทนระหว่างจำเลยกับนางดาราและต้องปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้สัญญาระหว่างจำเลยและนางดาราเป็นสัญญาต่างตอบแทนตามที่จำเลยกล่าวอ้างก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าวก็เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดเพียงบุคคลสิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาคือจำเลยและนางดาราเท่านั้น หามีผลผูกพันผู้รับโอนซึ่งมิได้รู้เห็นและยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อสัญญานั้นด้วยไม่ เมื่อจำเลยมิได้ให้การว่าโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทจากนางดาราได้ยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างจำเลยกับนางดาราสัญญาต่างตอบแทนดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานนั้นจึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยและให้งดสืบพยาน จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท แต่ปรากฏว่าจำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา300 บาท จำเลยจึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมา 100 บาท
พิพากษายืน

Share