คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2863/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจาก ด.เจ้าของที่พิพาทเดิมโดยมีข้อตกลงว่า ด. จะให้จำเลยเช่าที่พิพาททำการค้าตลอดชีวิตของจำเลยโดยจำเลยต้องจัดหาดินมาถมที่พิพาท และให้จำเลยปลูกบ้านในที่พิพาท 1 หลัง โดยให้บ้านดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ด. เมื่อจำเลยถึงแก่กรรม ซึ่งจำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นแล้ว ข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ ด. เป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้รับโอนที่พิพาทจาก ด. ต้องยินยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาทต่อไปจนตลอดชีวิตของจำเลยตามสัญญาต่างตอบแทนนั้น การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยออกไปจากที่ดินโดยไม่ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว ทำให้จำเลยเสียหายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมดินและปลูกบ้านในที่พิพาทไปเป็นเงินเกินกว่า 3,000,000 บาท ขอให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้จำเลยเป็นเงิน 2,000,000 บาท เป็นฟ้องแย้งในทำนองว่าหากจำเลยต้องออกจากที่พิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสองจะต้องชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามที่กล่าวอ้างไป ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองต่อเมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงว่าไม่มีสัญญาต่างตอบแทนซึ่งผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลยและศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะให้ถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ถ้าจำเลยชนะคดีตามคำให้การ ฟ้องแย้งของจำเลยก็ตกไป จึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา179 วรรคสุดท้าย ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา สัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างจำเลยและ ด. เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา ที่ก่อให้เกิดเพียงบุคคลสิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาคือจำเลยและ ด.เท่านั้น หามีผลผูกพันผู้รับโอนซึ่งมิได้รู้เห็นและยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อสัญญานั้นด้วยไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทจาก ด.มิได้ยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างจำเลยกับด. ย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินโฉนดที่ 13524 และ1474 ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ติดต่อกันประมาณ 754 ตารางวา กับโจทก์ทั้งสอง ค่าเช่าเดือนละ 6,032บาท มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2531 ถึงวันที่19 กุมภาพันธ์ 2532 กำหนดชำระค่าเช่าภายในวันที่ 10 ของทุก ๆเดือน เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วผู้เช่าต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าให้ผู้ให้เช่าในสภาพเรียบร้อยตามภาพถ่ายหนังสือเช่าที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และมีข้อตกลงตามหนังสือสัญญายอมออกไปจากที่เช่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ว่า จำเลยจะยอมออกไปจากที่เช่าทันทีเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าดังกล่าว จำเลยได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่127/2 บนที่ดินที่เช่าและครอบครองที่ดินนั้นตลอดมาจนครบกำหนดสัญญาเช่า แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าดังกล่าวแล้ว จำเลยไม่ยอมรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่เช่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้อง ห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 127/2 ซึ่งปลูกอยู่ที่ดินตามฟ้องและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินเดือนละ 10,000บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายและส่งมอบที่ดินแก่โจทก์เรียบร้อย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางดารา บุณยรักษ์ ยายของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากนางดาราตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 มีข้อตกลงว่าให้จำเลยเช่าเพื่อทำการค้าตลอดชีวิตของจำเลย โดยจำเลยต้องจัดหาดินมาถมที่พิพาทซึ่งมีลักษณะเป็นบ่อเลี้ยงปลาหลายแห่งให้เรียบร้อย และให้จำเลยปลูกบ้านในที่พิพาท 1 หลัง โดยให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางดาราเมื่อจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงสิ้นค่าใช้จ่ายไปเป็นเงิน 3,000,000 บาทเศษ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งผูกพันนางดาราให้ต้องให้จำเลยเช่าที่พิพาทตลอดชีวิตของจำเลย ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2512 นางดาราโอนที่พิพาทให้โจทก์ทั้งสองขณะยังเป็นผู้เยาว์ แต่นางดารายังคงทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาทต่อมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2512 จำเลยทำสัญญาเช่าโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมว่าที่พิพาทยังคงเป็นของนางดารา นางดาราหรือนางงามพริ้ม บุนนาคมารดาโจทก์ทั้งสองทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาทเกินกว่า 3 ปี ระหว่างที่โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เยาว์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล สัญญาเช่าดังกล่าวตกเป็นโมฆะ สัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เป็นสัญญาเช่าต่อเนื่องจากสัญญาเช่าที่เป็นโมฆะดังกล่าว โจทก์ทั้งสองจะอาศัยสัญญาเช่านั้นมาฟ้องบังคับจำเลยหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองต้องรับโอนสิทธิและหน้าที่จากนางดาราให้จำเลยเช่าที่พิพาทต่อไปจนตลอดชีวิตของจำเลย จำเลยลงชื่อในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 โดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยให้ออกจากที่พิพาทโดยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงทำให้จำเลยเสียหายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมที่พิพาทและปลูกสร้างบ้านในที่พิพาทเป็นเงินกว่า 3,000,000 บาท จำเลยขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 2,000,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้งไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การของจำเลย ส่วนฟ้องแย้งเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขและขัดกับคำขอให้ยกฟ้องโจทก์ จึงสั่งไม่รับฟ้องแย้งต่อมาเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยาน และพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องโฉนดเลขที่ 13524และ 1474 ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไปให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 127/2 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินตามฟ้อง และทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินเดือนละ 6,032 บาท นับจากวันที่ 21กุมภาพันธ์ 2532 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายและส่งมอบที่ดินให้โจทก์เป็นที่เรียบร้อย จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาเป็นข้อแรกว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่ศาลชอบจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยกล่าวอ้างในฟ้องแย้งว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากนางดารา บุณยรักษ์ เจ้าของที่พิพาทเดิมโดยมีข้อตกลงว่า นางดาราจะให้จำเลยเช่าที่พิพาททำการค้าวัสดุก่อสร้างตลอดชีวิตของจำเลยโดยจำเลยต้องจัดหาดินมาถมที่พิพาท ซึ่งขณะนั้นมีลักษณะเป็นบ่อเลี้ยงปลาหลายแห่งให้เรียบร้อยและให้จำเลยปลูกบ้านในที่พิพาท 1 หลัง โดยให้บ้านดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางดาราเมื่อจำเลยถึงแก่กรรม ซึ่งจำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นแล้วและเสียค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้นเป็นเงินประมาณ3,000,000 บาทเศษ ข้อตกลงระหว่างจำเลยกับนางดาราดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนผูกพันนางดาราให้ต้องยินยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาทตลอดชีวิตของจำเลย โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้รับโอนที่พิพาทจากนางดาราต้องยินยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาทต่อไปจนตลอดชีวิตของจำเลยตามสัญญาต่างตอบแทนนั้น การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยออกไปจากที่ดินโดยไม่ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว ทำให้จำเลยเสียหายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมดินและปลูกบ้านในที่พิพาทดังกล่าวไปเป็นเงินเกินกว่า 3,000,000 บาท ขอให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้จำเลยเป็นเงิน 2,000,000 บาท นั้นเห็นว่า จำเลยฟ้องแย้งในทำนองว่า หากจำเลยต้องออกจากที่พิพาทที่เช่าแล้ว โจทก์ทั้งสองจะต้องชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามที่กล่าวอ้างไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของที่พิพาทเดิมเป็นเงิน2,000,000 บาท ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองต่อเมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงว่าไม่มีสัญญาต่างตอบแทนซึ่งผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลยและศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะให้ถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ถ้าจำเลยชนะคดีตามคำให้การฟ้องแย้งของจำเลยก็ตกไป จึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา179 วรรคสุดท้ายไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณาตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 458/2526 ระหว่างนางสังเวียน สิทธิราชา โจทก์นายพงศ์พันธุ์ แซ่โง้ว จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 2972/2526ระหว่างนายซิวเล้ง แซ่เชาว์ โจทก์ นายแพทย์วัชรินทร์ รักบัวจำเลย ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างนั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพราะศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ทั้งสองรับรู้สัญญาต่างตอบแทนระหว่างจำเลยกับนางดาราและต้องปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้สัญญาระหว่างจำเลยและนางดาราเป็นสัญญาต่างตอบแทนตามที่จำเลยกล่าวอ้างก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าวก็เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดเพียงบุคคลสิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาคือจำเลยและนางดาราเท่านั้น หามีผลผูกพันผู้รับโอนซึ่งมิได้รู้เห็นและยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อสัญญานั้นด้วยไม่ เมื่อจำเลยมิได้ให้การว่าโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทจากนางดาราได้ยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างจำเลยกับนางดารา สัญญาต่างตอบแทนดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่พิพาทแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานนั้นจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share