คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และนำกัญชาดังกล่าวเข้าไปในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง อันเป็นด่านนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมืองตามกฎหมาย เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยเครื่องบิน แต่กัญชาถูกเจ้าพนักงานตรวจพบเสียก่อนและยึดไว้ ย่อมเป็นความผิดฐานมีกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่ง ฐานพยายามส่งกัญชาออกไปนอกราชอาณาจักรกระทงหนึ่ง และฐานส่งของที่ยังมิได้เสียภาษี ฤาของต้องจำกัดฤาของต้องห้ามฤา ของที่ยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรออกไปนอกราชอาณาจักรอีกกระทงหนึ่ง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 448/2513)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันมีกัญชาหนัก 52,500 กิโลกรัมไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และร่วมกันนำกัญชาดังกล่าวอันเป็นของต้องห้ามเข้าไปในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองอันเป็นด่านนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมือง เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แต่ถูกตรวจพบและจับกุมเสียก่อนจึงกระทำไปไม่ตลอด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 6, 7, 9, 10 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17 ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 32 ริบของกลาง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 10 จำคุก 6 เดือน จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันพยายามนำกัญชาออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 จำคุกคนละ 8 เดือน ของกลางริบ

โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีกัญชาตามมาตรา 7, 10 แห่งพระราชบัญญัติกัญชา กรรมหนึ่ง จำคุกคนละ 6 เดือน และมีความผิดฐานพยายามนำกัญชาออกนอกราชอาณาจักรอีกกรรมหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท คือมาตรา 6, 9 แห่งพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 ประกอบมาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญาบทหนึ่ง และตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งแก้ไขโดยมาตรา 3 ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2490 อีกบทหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา 27 อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี 6 เดือน ของกลางริบ

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วย แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และนำกัญชาดังกล่าวอันเป็นของต้องห้ามตามกฎหมายเข้าไปในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองอันเป็นด่านนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมืองตามกฎหมายเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยเครื่องบินแต่กัญชาดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานตรวจพบเสียก่อนและยึดไว้ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวกย่อมมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์กล่าวมาในคำฟ้องซึ่งเป็นกรณีความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป คือความผิดฐานมีกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานกระทงหนึ่ง ฐานพยายามส่งกัญชาออกไปนอกราชอาณาจักรกระทงหนึ่ง และฐานส่งของที่ยังมิได้เสียภาษีฤาของต้องจำกัด ฤาของต้องห้าม ฤาของที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรออกไปนอกพระราชอาณาจักรอีกกระทงหนึ่ง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 448/2513แต่ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดฐานพยายามนำกัญชาออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติกัญชาฯ กับฐานส่งของต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ เป็นความผิดหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ที่แก้ไขแล้ว มาตรา 27 อันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นั้นยังไม่ถูกต้องเห็นสมควรแก้เสียให้ถูกต้องด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติกัญชา พุทธศักราช 2477 มาตรา 7, 10 จำคุกคนละ 6 เดือน มีความผิดฐานพยายามส่งกัญชาออกไปนอกพระราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติกัญชา พุทธศักราช 2477 มาตรา 6(2), 9 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 จำคุกคนละ 6 เดือน และมีความผิดฐานส่งของต้องจำกัดออกไปนอกพระราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พระพุทธศักราช 2469 มาตรา 27 ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2490 มาตรา 3 จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน รวมโทษจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share