แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และนำกัญชาดังกล่าวเข้าไปในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง อันเป็นด่านนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมืองตามกฎหมาย เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยเครื่องบินแต่กัญชาถูกเจ้าพนักงานตรวจพบเสียก่อนและยึดไว้ ย่อมเป็นความผิดฐานมีกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่ง ฐานพยายามส่งกัญชาออกไปนอกราชอาณาจักรกระทงหนึ่ง และฐานส่งของที่ยังมิได้เสียภาษี ฤาของต้องจำกัด ฤาของต้องห้าม ฤาของที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรออกไปนอกพระราชอาณาจักรอีกกระทงหนึ่ง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 448/2513)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันมีกัญชาหนัก ๕๒,๕๐๐ กิโลกรัมไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และร่วมกันนำกัญชาดังกล่าวอันเป็นของต้องห้ามเข้าไปในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองอันเป็นด่านนำเสินค้าออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมือง เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แต่ถูกตรวจพบและจับกุมเสียก่อนจึงกระทำไปไม่ตลอด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกันชา พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา๖,๗,๙,๑๐ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ฉบับที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๖,๑๗ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐,๘๓,๓๒ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติกันชา พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๑๐ จำคุก ๖ เดือน จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันพยายามนำกัญชาออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติกันชา พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๙ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ จำคุกคนละ ๘ เดือน ของกลางริบ
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีกัญชาตามมาตรา ๗,๑๐ แห่งพระราชบัญญัติกันชา กรรมหนึ่ง จำคุกคนละ ๖ เดือน และมีความผิดฐานพยายามนำกัญชาออกนอกราชอาณาจักรอีกกรรมหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท คือ มาตรา ๖,๙ แห่งพระราชบัญญัติกันชา พ.ศ. ๒๔๗๗ ประกอบมาตรา ๘๐ แห่งประมวลกฎหมายอาญาบทหนึ่ง และมาตรา ๒๗ แห่งพราะราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ซึ่งแก้ไขโดยมาตรา ๓ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ.๒๔๙๐ อีกบทหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๗ อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุกคนละ ๒ ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๒ ปี ๖ เดือน ของกลางริบ
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกระทำผิดด้วย แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยทั้ง ๒ ร่วมกับพวกมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และนำกัญชาดังกล่าวอันเป็นของต้องห้ามตามกฎหมายเข้าไปในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองอันเป็นด่านนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านด่านศุลกากรดอนเมืองตามกฎหมายเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยเครื่องบิน แต่กัญชาดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานตรวจพบเสียก่อนและยึดไว้ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ ๒ กับพวกย่อมมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์กล่าวมาในคำฟ้องซึ่งเป็นกรณีความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป คือความผิดฐานมีกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานกระทงหนึ่ง ฐานพยายามส่งกัญชาออกไปนอกราชอาณาจักรกระทงหนึ่ง และฐานส่งของที่ยังมิได้เสียภาษีฤาของต้องจำกัด ฤาของต้องห้าม ฤาของที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรออกไปนอกพระราชอาณาจักรอีกกระทงหนึ่ง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๔๘/๒๕๑๓ แต่ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดฐานพยายามนำกัญชาออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติกันชาฯ กับฐานส่งของต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ เป็นความผิดหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ที่แก้ไขแล้ว มาตรา ๒๗ เป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ นั้นยังไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้เสียให้ถูกต้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติกันชา พุทธศักราช ๒๔๗๗ มาตรา ๗,๑๐ จำคุกคนละ ๖ เดือน มีความผิดฐานพยายามส่งกัญชาออกไปนอกพระราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติกันชา พุทธศักราช ๒๔๗๗ มาตรา ๖ (๒),๙ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ จำคุกคนละ ๖ เดือน และมีความผิดฐานส่งออกของต้องจำกัดออกไปนอกพระราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พระพุทธศักราช ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๓ จำคุกคนละ ๑ ปี ๖ เดือน รวมโทษจำคุกคนละ ๒ ปี ๖ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.