แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เช่าซื้อรถยนต์ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดแก่รถจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายที่รถถูกชนจากผู้ทำละเมิดและผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 30,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็น 42,000 บาท กับดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำละเมิด จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้ว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ชนท้ายรถยนต์เก๋งที่โจทก์เช่าซื้อมา เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ และรถยนต์เก๋งได้รับความเสียหาย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์เป็นฝ่ายประมาทนั้น จำเลยไม่มีพยานนำสืบเลยว่าโจทก์ประมาทอย่างไรกลับได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่า ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถแล่นตามหลังรถโจทก์ ขณะโจทก์หยุดรถจอดที่ไหล่ถนนก็ถูกรถจำเลยที่ 1 ชนท้าย เมื่อชนแล้วรถจำเลยที่ 1 ได้ดันรถโจทก์ไปไกลถึง 43เมตรเศษ แสดงว่าลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถเร็วมากและไม่ระวังดูรถโจทก์ที่แล่นอยู่ข้างหน้าถือได้ว่าลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียว
ฎีกาจำเลยที่ว่า โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถยนต์เก๋งคันที่ถูกชนโจทก์ไม่ใช่เจ้าของ จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลและค่าขาดประโยชน์ในระหว่างรักษาพยาบาลได้ สำหรับค่าเช่ารถที่โจทก์ต้องเช่าจากผู้อื่นระหว่างซ่อมรถยนต์และค่าเสื่อมราคาของรถ แม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้เช่าซื้อ แต่โจทก์ก็มีสิทธิยึดถือและใช้ประโยชน์ มีหน้าที่ดูแลรถให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เมื่อโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา รถก็ตกเป็นสิทธิของโจทก์ หากมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ก็ต้องคืนรถในสภาพเรียบร้อยในระหว่างอายุสัญญาเช่าซื้อโจทก์จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ อันเกิดแก่รถตามข้อสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยได้ ฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่าโจทก์เรียกค่าเสื่อมราคาของรถไม่ได้ โดยอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 588/2518 เป็นแบบอย่างนั้น ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวเป็นกรณีสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับค่าเช่ารถที่โจทก์เรียกร้องและค่าขาดรายได้ ปัญหานี้ จำเลยที่ 2มิได้ยกต่อสู้ในคำให้การให้เป็นประเด็นไว้ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน