คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2851-2852/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ส. เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วเข้าทำนาในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์ เมื่อ ส. ตาย โจทก์ได้เช่าที่ดินพิพาททำนาต่อมาจึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 แม้จะครอบครองอยู่นานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทับที่ดินของจำเลยซึ่งได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกให้โจทก์ได้.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในสำนวนหลังเป็นโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 ตามสำนวนแรก และเรียกโจทก์สำนวนหลังซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินน.ส.3 เลขที่ 617 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 619ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ยื่นเรื่องราวกล่าวหาว่า โจทก์ออก น.ส.3 ทับน.ส.3 เลขที่ 109 ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้มีคำสั่งเลขที่ 513/2526 ให้เพิกถอน.ส.3 เลขที่ 617 และ 619 ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษายกเลิกคำสั่งดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ทั้งสามใหม่ ให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาททั้งหมด ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ออก น.ส.3 เลขที่ 617 และ619 ตามฟ้อง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไปทับที่ดินของจำเลยที่ 2ตาม น.ส.3 เลขที่ 109 ซึ่งได้ออกไว้ก่อนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 เลขที่ 617 และ 619
โจทก์ทิ้งฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3เลขที่ 109 จำเลยที่ 1 และที่ 2 คบคิดกับเจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินของโจทก์ทั้งหมดและจำเลยทั้งสอได้เข้าไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยและทำนาในที่ดินโจทก์ ต่อมาโจทก์ร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม และทางราชการได้มีคำสั่งให้เพิกถอน น.ส.3 เลขที่ 617 และ 619 แล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์ได้ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสองและออกไปให้พ้นที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองและทางราชการได้ออก น.ส.3 เลขที่ 617 และ 619 ให้จำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยทราบว่าทางราชการได้เพิกถอน น.ส.3 ของจำเลย จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอด โดยเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของ ทางราชการออก น.ส.3 ให้จำเลยโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำนวนแรก ให้ขับไล่โจทก์ที่ 1ที่ 3 (ซึ่งเป็นจำเลยทั้งสองในสำนวนหลัง) กับบริวาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 1 (โจทก์สำนวนที่สอง)ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป
โจทก์ที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์สำนวนที่สอง ให้โจทก์สำนวนแรกมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาททั้งหมด ห้ามจำเลยที่ 1 เข้าเกี่ยวข้องและให้ยกเลิกคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ 513/2526
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแล้ววินิจฉัยว่า นายเสาร์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วเข้าทำนาในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์ทั้งสาม เมื่อนายเสาร์ตาย โจทก์ทั้งสามเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อมา จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของ แม้จะครอบครองอยู่นานเท่าใดโจทก์ทั้งสามก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1และนางใบภริยาโจทก์ที่ 1 ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ทับที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้แล้ว การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามจำเลยที่ 2 มีคำสั่งที่ 513/2526 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.2 และ ล.3ดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share