คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2843/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกระทำผิดฐานฟ้องเท็จ โดยจำเลย ได้ ฟ้องโจทก์ว่ากระทำผิดฐานหมิ่นประมาทแต่ระบุสถานที่เกิดเหตุเป็นเท็จ และอ้างกฎหมายขอให้ลงโทษแรงกว่าที่เป็นจริงดังนี้ เหตุ 2 ประการดังกล่าวมิใช่เนื้อหาแห่งการ กระทำ อันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท แม้จะอ้างกฎหมายขอให้ลงโทษหลายบทรวมกันมา โดยกฎหมายบางบท มีโทษหนักกว่า ความผิด ก็เป็นเรื่องมีคำขอฟุ่มเฟือย เกินเลยไปกรณีจะเป็นความผิดอาญาลงโทษได้ ตามกฎหมายบทใดหรือไม่ ย่อมอยู่ที่การกระทำ ซึ่งบรรยายในฟ้อง ข้ออ้างตามฟ้อง โจทก์ยังถือไม่ได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานฟ้องเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ต่อศาลจังหวัดภูเก็ตในข้อหาหมิ่นประมาท และจำเลยที่ 2ได้ฟ้องโจทก์โดยระบุว่าเหตุเกิดที่แขวงพระโขนง กรุงเทพมหานคร กับแขวงและเขตต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร ตำบลและอำเภอต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรต่อมาจำเลยได้แก้ฟ้องเป็นเหตุเกิดที่อำเภอเมือง และอำเภอต่าง ๆ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นข้อความเท็จและเป็นข้อสารสำคัญของคดี ความจริงจำเลยทั้งสองทราบดีว่าโจทก์มิได้กระทำผิดอาญาในเขตอำนาจศาลจังหวัดภูเก็ต และที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 2(2) และ 5 ก็แรงกว่าที่เป็นจริง ซึ่งศาลจังหวัดภูเก็ตไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 175

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำผิดฐานฟ้องเท็จด้วยเหตุ 2 ประการคือ คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ข้อหาหมิ่นประมาท จำเลยระบุสถานที่เกิดเหตุเท็จประการหนึ่ง กับอ้างกฎหมายขอให้ลงโทษโจทก์แรงกว่าที่เป็นจริงอีกประการหนึ่ง เห็นว่า เหตุทั้งสองประการดังกล่าวมิใช่เนื้อหาแห่งการกระทำอันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท แม้จะอ้างกฎหมายขอให้ลงโทษหลายบทรวมกันมา โดยกฎหมายบางบทมีโทษหนักกว่าความผิดก็เป็นเรื่องมีคำขอฟุ่มเฟือยเกินเลยไปเท่านั้น กรณีจะเป็นความผิดอาญาลงโทษได้ตามกฎหมายบทใดหรือไม่ ย่อมอยู่ที่การกระทำซึ่งบรรยายในฟ้องข้ออ้างตามฟ้องโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฟ้องเท็จ

พิพากษายืน

Share