แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระธรรมนูญศาลยุตติธรรม ร.ศ.127 ม.35 ข้อ 5 อำนาจศาลโปริสภา ดีซึ่งฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย+ฐานด้วยกัน ศาลโปริสภาไต่สวนแล้วเห็นว่ามีบางฐานยังไม่อยู่ในอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาเสียเองได้+รวมส่งให้อัยยการฟ้องยังศาลสูง อัยยการกลับสั่งให้ศาลโปริสภาสืบพะยานต่อไปแต่งดไม่รับฟ้องฐานที่ศาลโปริสภาเห็นถ้าเกินอำนาจดังนี้ศาลโปริสภาอำนาจพิจารณาพิพากษาดีในฐานที่อยู่ในอำนาจศาลเสียเองได้ โดยไม่จำต้องสืบพะยานต่อไปตามคำสั่งของกรมอัยยการ ฎีกาอุทธรณ์
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ม.๑๑๖-๑๑๘-๑๕๘-๑๕๙ แล ๒๘๒
ศาลโปริสภาไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ส่งสำนวนให้อัยยการฟ้อง จำเลยยังศาลสูงต่อไป
อัยยการส่งสำนวนกลับคืนไปแลว่าความผิดที่โจทก์หาตาม ม.๑๕๘-๑๕๙ อัยยการจะงดการขอให้ศาลพระราชอาญาพิจารณาลงโทษจำเลย ส่วนมูลความผิดตามมาตรา ๑๑๘ แล ม.๒๘๒ นั้นให้ศาลไต่สวนฟังพะยานต่อไปอีก แล้วให้ส่งสำนวนกลับคืนมา
ศาลโปริสภาเห็นว่าคดีเป็นปัญหากฎหมายแลข้อเท็จจริงที่รับพอจะวินิจฉัยได้แล้วจึงงดสืบพะยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่ศาลโปริสภามิได้ไต่สวนพะยานต่อไปตามที่อัยยการสั่งมาไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุตติธรรม ร.ศ.๑๒๗ ม.๓๕ ข้อ ๕ แลขัดกับคำสั่งของศาลโปริสภาเองซึ่งสั่งให้ส่งสำนวนให้อัยยการฟ้อง จึงให้ยกคำพิพากษาศาลโปริสภา แลให้ไต่สวนพะยานต่อไป แล้วสั่งสำนวนกลับคืนมายังอัยยการเพื่อจัดการต่อไป
ศาลฎีกาเห็นว่าศาลโปริสภามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน เมื่อบรรดาคดีทั้งหลายที่ศาลโปริสภาไต่สวนแล้ว เห็นว่าอยู่ในอำนาจก็พิพากษาเสียเอง คดีนี้มีฐานฟ้องหลายฐาน แต่เป็นการกระทำอย่างเดียว เลมิดฎหมายหลายบทด้วยกัน บางบทก็อยู่ในอำนาจศาลโปริสภา บางบทก็เห็นว่าเกินอำนาจ จึงได้รวมส่งให้อัยยการเพื่อฟ้องยังศาลสูง ซึ่งเป็นการชอบแล้ว เพราะศาลโปริสภาจะแยกสำนวนออกพิจารณาพิพากษาเสียเองแต่บางส่วนไม่ได้ โดยจะต้องใช้บทหนักตามมาตรา ๗๐ ลงโทษแก่จำเลย แต่เมื่ออัยยการไม่รับสำนวนฟ้องร้องในฐานที่สำคัญตาม ม.๑๕๘-๑๕๙ ซึ่งศาลโปริสภาเห็นว่าเกินอำนาจ ฐานฟ้องตามมาตรา ๑๕๘-๑๕๙ จึงเป็นอันยุตติระงับไป คงเหลือแต่ฐานฟ้องตามมาตรา ๑๑๖-๑๑๘-๒๘๒ คดีจึงกลับมาอยู่ในอำนาจศาลโปริสภาที่จะวินิจฉัยแลพิจารณาพิพากษาเสียเองได้ ส่วนข้อที่ว่าศาลไม่มีอำนาจทำได้ เพราะขัดคำสั่งของกรมอัยยการและคำสั่งเดิมของศาลนั้นเห็นว่าไม่มีกฎหมายสนับสนุนแลเมื่อคำสั่งศาลเดิมได้ถูกปฏิเสธเสียแล้ว คำสั่งนั้นก็เป็นอันระงับไป ส่วนคำสั่งของอัยยการที่ให้สืบพะยานเพิ่มเติม แม้ตามพระธรรมนูญ มาตรา ๓๕ ข้อ ๕ ก็ไม่มีข้อความที่บังคับให้ศาลจำต้องส่งสำนวนตามคำขอของอัยยการอีก กล่าวคือ เมื่อศาลไต่สวนฟังพะยานเพิ่มเติมต่อไป ข้อเท็จจริงกลับได้ความในชั้นใหม่ผิดไปจากเดิมว่าไม่มีมูล ศาลก็ย่อมต้องยกข้อหา จะส่งสำนวนคืนให้อัยยการฟ้อง ยังศาลสูงอย่างไรได้ เรื่องนี้แม้ศาลไม่ได้สืบพะยานตามคำสั่งของกรมอัยยการ แต่ข้อหาฐานที่เหลือศาลเห็นว่าเป็นข้อกฎหมาย ก็ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงประกอบอีก เป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นอิศรของศาลที่จะพิพากษาเสียเองได้ ไม่ผิดต่อกฎหมาย ใด ๆ หรือคำสั่งเดิม จึงให้ ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์