คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2834/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยประกอบการขนส่งประจำทางโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 23 แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรณีใช้รถผิดประเภทอันเป็นความผิดตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และความผิดตามมาตรา 27 นี้โจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงมาในฟ้องและมิได้อ้างบทมาตรามา ในคำขอท้ายฟ้องจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึง ลงโทษจำเลยไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจประกอบการขนส่งประจำทางโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยจำเลยนำรถยนต์บรรทุกขนาดกลางออกวิ่งรับส่งคนโดยสารและสิ่งของเพื่อสินจ้างเช่นเดียวกับรถยนต์โดยสารประจำทางอำเภอ-ขุขันธ์-บ้านโคกตาล ซึ่งเป็นเส้นทางที่คณะกรรมการควบคุมการขนส่งได้กำหนดให้เป็นเส้นทางเดินรถยนต์โดยสารประจำทางแล้ว ทั้งนี้โดยจำเลยไมได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งจากนายทะเบียนตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓, ๑๒๖
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ หากจะเป็นความผิดก็ผิดตามบทมาตราอื่น ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัทศิริเกษขนส่งจำกัดได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนประจำจังหวัดศรีสะเกษให้ประกอบการขนส่งโดยรถยนต์ขนาดเล็กในเส้นทางสายขุขันธ์-โคกตาล (ตั้งแต่วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๒๘) ทั้งนี้โดยมติของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดศรีสะเกษ และคณะกรรมการดังกล่าวมีมติว่า สำหรับรถที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เดินรถขุขันธ์จำกัดอยู่แล้ว คือรถของจำเลยกับพวกให้เข้าร่วม หลังจากบริษัทศิริเกษขนส่งจำกัดได้รับอนุญาตแล้วก็ได้แจ้งให้จำเลยกับพวกผู้มีสิทธินำรถเข้าร่วมทราบ โดยกำหนดเวลาให้นำรถมาเข้าร่วม แต่จำเลยกับพวกไม่ได้นำรถมาเข้าร่วม ต่อมาวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๒๓ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยในขณะที่จำเลยกำลังขับรถคันพิพาทรับส่งคนโดยสารอยู่ในเส้นทางสายขุขันธ์-โคกตาลรถคันพิพาทจำเลยเช่าซื้อมาแล้วนำรถมาเข้าเป็นสมาชิกของสหกรณ์เดินรถขุขันธ์ จำกัดและยื่นคำขอจดทะเบียนเสียภาษี แต่ทางราชการจดทะเบียนให้ไม่ได้ จำเลยจึงนำรถเข้าร่วมกับบริษัทชัยอิสาณเดินรถ จำกัด ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งทั้งประเภทประจำทางและประเภทไม่ประจำทาง โดยบริษัทชัยอิสาณเดินรถ จำกัด ได้นำรถคันพิพาทมาขอจดทะเบียนเป็นประเภทรถไม่ประจำทาง และได้เสียภาษีรถยนต์ในนามของบริษัทชัยอิสาณเดินรถจำกัดตลอดมา แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า รถคันพิพาทได้โอนเข้าร่วมกิจการในการประกอบการขนส่งประเภทไม่ประจำทางของบริษัทชัยอิสาณเดินรถจำกัดแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามหนังสือแสดงการจดทะเบียนรถคันพิพาทก็ระบุชื่อผู้ประกอบการขนส่งว่าบริษัทชัยอิสาณเดินรถจำกัด ซึ่งแสดงว่าบริษัทดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบในการเดินรถคันนี้โดยตรงส่วนจำเลยเป็นแต่เพียงผู้ใช้รถคันนี้ในนามของบริษัทดังกล่าวเท่านั้น ฉะนั้นการที่จำเลยนำรถคันพิพาทมาวิ่งรับส่งคนโดยสารในเส้นทางสายขุขันธ์-โคกตาล ผิดไปจากที่ได้รับอนุญาตไว้จึงเป็นกรณีใช้รถผิดประเภทอันเป็นความผิดตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ หาเป็นความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องไม่และความผิดตามที่พิจารณาได้ความนี้ โจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงมาในฟ้องและมิได้อ้างบทมาตราในคำขอท้ายฟ้อง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสี่
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share