คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการที่จำเลยจัดการโอนที่พิพาทใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดซึ่งที่ดินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วนั้นมิใช่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลฉะนั้น ถึงแม้โจทก์จะฟ้องเกิน 1 ปีนับจากวันที่โจทก์รู้เรื่องการโอนใส่ชื่อจำเลยลงในโฉนด คดีก็หาขาดอายุความไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่ดินมีโฉนดให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามส่วนที่โจทก์ครอบครองและขอให้เพิกถอนนิติกรรมการยกให้ที่โอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ครอบครองประมาณ 10 ไร่เศษด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าบิดาโจทก์จำเลยได้ยกที่พิพาทส่วนหนึ่งให้โจทก์ ถึงแม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แต่โจทก์ก็ได้ครอบครองมาโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382 และใช้ยันจำเลยทางทะเบียนได้ พิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินด้านทิศตะวันตกตามส่วนที่โจทก์ได้ครอบครองมาเป็นเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่เศษ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า บิดาโจทก์จำเลยได้ยกนาพิพาทด้านตะวันตกเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่เศษให้โจทก์โดยเด็ดขาดแล้ว ถึงแม้จะมิได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายแต่โจทก์ก็ได้ครอบครองนาพิพาทมาในฐานะเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382 ถึงแม้จำเลยจะได้รับโอนนาพิพาทโดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ใช้ยันโจทก์ไม่ได้ เพราะได้รับโอนมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน

จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะไม่ได้ฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่โจทก์ทราบเรื่องบิดาโอนให้จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีนี้มิใช่เรื่องโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล แต่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการที่จำเลยจัดการโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดเกี่ยวกับที่ดินซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว ฉะนั้น ถึงแม้โจทก์จะฟ้องเกิน 1 ปีนับจากวันที่โจทก์รู้เรื่องการโอนใส่ชื่อจำเลยในโฉนด ก็ไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 240 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share