แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ขอให้กักเรือของจำเลยที่1ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติการกักเรือพ.ศ.2534ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กักเรือของจำเลยที่1ไว้ตามขอต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่1ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยที่1ปฎิบัติผิดสัญญารับขนเป็นคดีนี้ดังนี้การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใดให้แก่จำเลยจึงต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการกักเรือฯมาตรา29วรรคหนึ่ง(1)ซึ่งบัญญัติว่าถ้ามีตัวแทนให้ส่งแก่ตัวแทนและวรรคสามซึ่งบัญญัติว่าให้ถือว่าจำเลยได้รับคำคู่ความหรือเอกสารนั้นเมื่อระยะเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่วันที่ได้ส่งหรือปิดคำคู่ความหรือเอกสารนั้น เมื่อพระราชบัญญัติการกักเรือฯบัญญัติถึงวิธีการส่งคำคู่ความให้แก่จำเลยซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะแล้วจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา83ทวิและมาตรา83ฉอันเป็นบททั่วไปมาใช้บังคับ
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ร้องขอให้กักเรือพัฒนา 188 ของจำเลยที่ 1 เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติการกักเรือ พ.ศ. 2534 ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้กักเรือพัฒนา 188 ไว้ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แต่งตั้งและมอบอำนาจให้นายบรรจบ วงษ์วิบูลย์สิน ตัวแทนยื่นคำร้องขอให้ปล่อยเรือศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากเรือพัฒนา 188 ซึ่งปฎิเสธ ไม่รับขนส่งสินค้าตามสัญญารับขนทางทะเลให้แก่โจทก์โจทก์ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่นายบรรจบ วงษ์วิบูลย์สิน ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยเรือตามพระราชบัญญัติการกักเรือ พ.ศ. 2534โดยการปิดหมายเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2537 จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2537
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำให้การ โดยเห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด 45 วัน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้กักเรือพัฒนา 188 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติการกักเรือ พ.ศ. 2534 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กักเรือของจำเลยที่ 1 ไว้ตามขอ ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยที่ 1 ปฎิบัติ ผิดสัญญารับขนเป็นคดีนี้ ตามพระราชบัญญัติการกักเรือ พ.ศ. 2534 มาตรา 3 วรรคสองบัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับเรือ” หมายความว่า สิทธิเรียกร้องอันเกิดจาก (ค) สัญญาเกี่ยวกับการใช้ เช่า เช่าซื้อหรือยืมเรือ การให้บริการบรรทุก หรือสัญญาอื่นทำนองเดียวกัน คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายฐานปฎิบัติ ผิดสัญญารับขนซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากสัญญาการให้บริการบรรทุกจึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับเรือตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการกักเรือ พ.ศ. 2534 มาตรา 3 ดังกล่าวข้างต้นนั่นเอง ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ถูกฟ้อง มิได้มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใดให้แก่จำเลยจึงต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการกักเรือ พ.ศ. 2534มาตรา 29 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติไว้เป็นพิเศษว่า “เมื่อลูกหนี้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรถูกฟ้องคดีแล้ว และยังไม่ได้ตั้งทนายความไว้ การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใดให้แก่จำเลย (1)ถ้ามีตัวแทนให้ส่งแก่ตัวแทน” และวรรคสามบัญญัติว่า “เมื่อได้ปฎิบัติตามวรรคหนึ่ง แล้ว ให้ถือว่าจำเลยได้รับคำคู่ความหรือเอกสารนั้นเมื่อระยะเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่วันที่ได้ส่งหรือปิดคำคู่ความหรือเอกสารนั้น” ซึ่งหมายความว่า การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นนั้น จะมีผลต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่วันที่ได้ส่งหรือปิดคำคู่ความหรือเอกสารนั้นคดีนี้ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งให้นายบรรจบ วงษ์วิบูลย์สิน เป็นตัวแทนในการรับเอกสารต่าง ๆตามเอกสารที่แนบมาท้ายคำร้องขอให้ปล่อยเรือฉบับลงวันที่21 ตุลาคม 2536 ของศาลชั้นต้น และเจ้าพนักงานปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ ที่ภูมิลำเนาของนายบรรจบตัวแทนของจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2537 จึงต้องเริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่8 มกราคม 2537 ครบกำหนด 15 วัน ซึ่งพระราชบัญญัติการกักเรือพ.ศ. 2534 มาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในวันที่ 22 มกราคม 2537 จึงต้องเริ่มนับกำหนดเวลายื่นคำให้การภายใน 15 วัน ตั้งแต่วันที่23 มกราคม 2537 ครบกำหนดที่จำเลยที่ 1 จะยื่นคำให้การได้ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2537 เป็นอย่างช้า ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1ยื่นคำให้การในวันที่ 7 มีนาคม 2537 จึงพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 83 ทวิและมาตรา 83 ฉะนั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ใช้สำหรับกรณีการส่งหมายเรียกและคำฟ้องแก่จำเลยที่ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรในกรณีทั่ว ๆ ไป แต่คดีนี้เป็นการฟ้องคดีตามสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับเรือ ซึ่งมีพระราชบัญญัติการกักเรือพ.ศ. 2534 มาตรา 29 บัญญัติถึงวิธีการส่งคำคู่ความให้แก่จำเลยซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะแล้วจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 83 ทวิ และมาตรา 83 ฉ อันเป็นบททั่วไปมาใช้บังคับได้ศาลล่างทั้งสองสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน