คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 อันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก แต่ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาผู้เสียหายทั้งสามต่างยื่นคำร้องว่า แต่ละคนได้รับค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 จนเป็นที่พอใจแล้วจึงไม่ประสงค์จะว่ากล่าวเอาความแก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไปซึ่งตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคท้าย บัญญัติว่า “ความผิดตามวรรคแรกฯ เฉพาะกรณีที่กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีเป็นความผิดอันยอมความได้” เมื่อผู้เสียหายทั้งสามซึ่งต่างก็มีอายุเกินสิบห้าปีแล้วทั้งสิ้น จึงเท่ากับยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายในระหว่างฎีกา สิทธิของโจทก์ในการนำความผิดฐานนี้มาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5 และ 7 วรรคหนึ่ง ซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยศาลล่างทั้งสองต่างมิได้กำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยที่ 1 ไว้ คดีของจำเลยที่ 1 จึงอาจต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษในความผิดดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องจำเลยทั้งสามสำนวนเป็นใจความว่า ระหว่างเดือนกันยายน 2542 ถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน วันใดไม่ปรากฏชัด เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อหรือชักพานางสาว อ. ผู้เสียหาย ที่ 1 ซึ่งมีอายุ 16 ปีเศษ ไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวงไปถ่ายภาพยนตร์ วิดีโอเทปเปลือยกาย แสดงสัดส่วนของร่างกายเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ทั้งยังเป็นการสมคบกันจัดให้หญิงกระทำการ หรือยอมรับการกระทำเพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบสำหรับจำเลยทั้งสามกับพวกหรือผู้อื่น ต่อมาระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน วันใดไม่ปรากฏชัด เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อหรือชักพานางสาว น. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งมีอายุ 16 ปีเศษ กับนางสาว ม. ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษ ไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวงไปถ่ายภาพยนตร์ วิดีโอเทปเปลือยกาย แสดงสัดส่วนของร่างกายเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ทั้งยังเป็นการสมคบกันจัดให้หญิงกระทำการ หรือยอมรับการกระทำใดเพื่อการอนาจารหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบสำหรับจำเลยทั้งสามกับพวกหรือผู้อื่น เหตุเกิดที่ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ และตำบลใดไม่ปรากฏชัด อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวพันกัน ตำรวจจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมวิดีโอเทปเปลือยกาย แสดงสัดส่วนของร่ายกายผู้เสียหายทั้งสาม 5 ม้วน เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283, 91, 83, 32, 33 พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ตาย ศาลชั้นต้นจึงจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 การกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เฉพาะการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาหญิงอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นจำคุกกระทงละ 12 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 24 ปี ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นแม้หญิงนั้นจะยินยอม จำคุก 12 ปี ริบของกลาง ยกคำขออื่น
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จำเลยที่ 3 ขอถอนอุทธรณ์ของตน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคหนึ่ง การกระทำในแต่ละกระทงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 4 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ริบของกลาง ยกคำขออื่น (ที่ถูกคือนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น)
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีนี้จำเลยที่ 1 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าตนมิได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก และพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคหนึ่ง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมา ความปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายทั้งสามต่างยื่นคำร้องว่าแต่ละคนได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงไม่ประสงค์จะว่ากล่าวเอาความแก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไปดังนี้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคท้าย บัญญัติว่า “ความผิดตามวรรคแรกฯ เฉพาะกรณีที่กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีเป็นความผิดอันยอมความได้” เมื่อผู้เสียหายทั้งสามซึ่งต่างก็มีอายุเกินสิบห้าปีแล้วทั้งสิ้นไม่ติดใจว่ากล่าวเอาความแก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ จึงเท่ากับยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายในระหว่างฎีกา สิทธิของโจทก์ในการนำความผิดฐานนี้มาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) อย่างไรก็ตามศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยังพิพากษาว่าความผิดฐานดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกันกับความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5 และ 7 วรรคหนึ่ง อันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และเนื่องจากแต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก ดังกล่าวข้างต้น นอกจากนั้นศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง เป็นกรรมเดียวกันกับความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 ก็กำหนดให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยศาลล่างทั้งสองต่างก็มิได้กำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ไว้ด้วย เมื่อความผิดฐานนี้ยังไม่ระงับและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในส่วนนี้เป็นการพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีของจำเลยที่ 1 จึงอาจต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5 และ 7 วรรคหนึ่ง แก่จำเลยที่ 1″
ให้จำหน่ายคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก ออกจากสารบบความ และย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษแก่จำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 ต่อไป

Share