คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้รับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแค่ไหนเพียงไรนั้นเป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดี มิใช่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ย่อมไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยที่ 2รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหมด และจำเลยที่ 2มิได้อุทธรณ์โต้เถียงในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะกำหนดค่าขึ้นศาลชั้นต้นใหม่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนชนะคดี การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องเสียเองได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางประมวล ศรีโสภณ มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ โจทก์ที่ 2 นางประมวลขับรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ 1 โดยมีโจทก์ที่ 3 นั่งซ้อนท้ายแล่นออกจากบ้านไปตามถนนซึ่งเป็นทางสายเอก จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เป็นทางสายโทด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด เมื่อถึงทางแยกซึ่งตรงมุมถนนมีป้ายสัญญาณว่า “หยุด” จำเลยที่ 1 กลับขับรถยนต์เข้าสู่ทางแยกโดยไม่หยุดเป็นเหตุให้ชนรถจักรยานยนต์ที่นางประมวลขับมาในทางสายเอกเป็นเหตุให้นางประมวลถึงแก่ความตายและโจทก์ที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ขาซ้ายหักไม่สามารถใช้ได้ตามปกติ และรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ 1 ที่นางประมวลขับไปได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1และที่ 2 รวมเป็นเงิน 654,877.15 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ที่ 1 มิได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายโจทก์ที่ 2 จึงมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1จึงมิใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และมิได้ขับรถในทางการที่จ้าง เหตุรถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ตาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 427,930 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 132,000บาท และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเงิน 6,000 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 4,000 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนชนะคดีค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์โต้เถียงในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่กำหนดค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นใหม่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนชนะคดี จึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้รับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแค่ไหนเพียงไรนั้น เป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดี ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ 2 รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหมดมาดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ มิใช่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้เอง ศาลฎีกาจึงเห็นควรแก้ไขในส่วนนี้เสียให้ถูกต้องเพราะการพิพากษาคดีโดยไม่ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาวินิจฉัยได้เอง
คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาเพียง 586,392.40 บาท จำเลยที่ 2จะต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 14,660 บาท แต่จำเลยที่ 2 ได้เสียมาจำนวน 26,327.50 บาท จึงเป็นการเสียเกินมาจำนวน11,667.50 บาท”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยที่ 2 เสียเกินมาจำนวน11,667.50 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2.

Share