คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2821/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 เมื่อการซื้อขายได้กระทำตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์จึงไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา1129 วรรคสอง โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซื้อขายหุ้นตามคำสั่งของจำเลย โดยไม่ได้โอนชื่อให้จำเลย แต่มีหลักฐานลงไว้ในบัญชีทะเบียนผู้ถือหุ้นซึ่งระบุหุ้นทุกหุ้นที่โจทก์ซื้อแทนลูกค้าในแต่ละวัน ต่อมามีการคิดทอนบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์ทวงถามแล้วไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินที่ค้างอยู่แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๒ จำเลยได้กู้เงินโจทก์เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์มีลักษณะเป็นบัญชีเดินสะพัด จำเลยได้สั่งซื้อและขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ผ่านโจทก์ตามสัญญาดังกล่าว และได้มีการหักทอนบัญชีกัน จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๔๒๙,๓๕๙.๔๐ บาท จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ โดยจำเลยนำหุ้นมาวางเป็นประกัน จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ ๖ งวด แล้วไม่ชำระอีก จำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ รวมเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔๙๒,๒๒๓.๗๒ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน๔๙๒,๒๒๓.๗๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔.๕ ต่อปี ในต้นเงิน๓๙๓,๓๕๙.๔๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์และจำเลยได้ลงชื่อในสัญญากู้ โดยจำเลยจะเป็นหนี้โจทก์เมื่อโจทก์ซื้อและโอนหุ้นระบุชื่อให้เป็นของจำเลยแล้ว ความจริโจทก์ไม่เคยซื้อหุ้นให้จำเลย ไม่เคยโอนหุ้นให้จำเลย แต่โจทก์ซื้อหุ้นเพื่อโอนชื่อเป็นของโจทก์ และนำหุ้นไปจำนำธนาคารด้วย และโจทก์มาหลอกลวงให้ขายหุ้นซึ่งไม่ใช่ของจำเลย จากการหลอกลวงทำให้โจทก์ได้รับเงินไปจากจำเลยรวม ๗๑๕,๘๐๐.๐๗ บาท การซื้อขายหุ้นของโจทก์ที่อ้างว่ากระทำแทนจำเลยตกเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ชำระเงิน ๗๑๕,๘๐๐.๐๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ไม่ได้ทำนิติกรรมอำพราง จำเลยเข้าใจวิธีการซื้อขายหุ้นเป็นอย่างดี การซื้อขายแทน โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบ โจทก์ไม่ได้หลอกลวงจำเลยให้ขายหุ้น ทำหนังสือรับสภาพหนี้ และมีการให้สัตยาบันแล้ว จำเลยซื้อเงินเชื่อจึงไม่จำเป็นต้องโอนหุ้นให้ ขอให้ยกฟ้องแย้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๙๓,๓๕๙.๔๐บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๔.๕ ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๓ จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน๗๑๕,๘๐๐.๐๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ของต้นเงิดังกล่าว นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้แต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้เงินที่จำเลยกู้จากโจทก์จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท นำไปใช้ซื้อขายหลักทรัพย์ จำเลยจะเป็นผู้ชำระเงินร้อยละ ๓๐ ของราคาหลักทรัพย์ที่ซื้อได้ในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินกู้ร้อยละ ๗๐ ของราคาหลักทรัพย์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวโจทก์ไม่เคยโอนหุ้นให้จำเลย จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องแย้ง และจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อขายหลักทรัพย์แทนจำเลยหรือไม่ โจทก์มีนางสาวศรีนวล กวานานนท์เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นสมุห์บัญชีของโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ จำเลยสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ ตามคำสั่งซื้อ หุ้นที่ซื้อทั้งหมดจะมีการบันทึกไว้ที่ตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่ได้แจ้งหมายเลหุ้นให้จำเลยทราบ นางสาวนิรมล เหล่าเรืองธนา พยานโจทก์ปากหนึ่งเบิกความว่า พยานทำงานกับโจทก์ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการจำเลยเป็นลูกค้าประเภทกู้เงินโจทก์เพื่อซื้อหลักทรัพย์มีลักษณะเป็นบัญชีเดินสะพัด จำเลยได้ให้โจทก์เอาหุ้นไปขายให้แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัด เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งจำเลยได้เซ็นชื่อรับรองไว้ แต่ยังเป็นหนี้โจทก์อีกจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ นางอารยา อรุณานนท์ชัย พยานจำเลยเบิกความว่า พยานเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้จำเลยจำเลยให้โจทก์ซื้อหุ้นให้แต่ไม่เคยโอนชื่อให้จำเลย โจทก์มีหลักฐานลงไว้ในบัญชีทะเบียนหุ้นซึ่งระบุหุ้นทุกหุ้นที่โจทก์ซื้อแทนลูกค้าในแต่ละวัน ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันมีเหตุผลรับกับพยานของจำเลย จำเลยจึงยอมขายหุ้นให้แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัด เพื่อนำเงินมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ เมื่อหักทอนบัญชีกันแล้วจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ เชื่อได้ว่าโจทก์ซื้อขายหุ้นแทนจำเลยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่หุ้นดังกล่าวใส่ชื่อโจทก์โดยมิได้มีชื่อจำเลยจะถือว่าโจทก์มิได้ซื้อหุ้นให้จำเลยหาได้ไม่ทั้งนี้เพราะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ เมื่อการซื้อขายหุ้นโจทก์ได้กระทำตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ วรรคสอง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย คดีฟังได้ว่าโจทก์ซื้อขายหุ้นแทนจำเลยในตลาดหลักทรัพย์ตามคำสั่งของจำเลย เมื่อมีการคิดบัญชีและหักทอนบัญชีกันแล้ว จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน ๔๒๙,๓๕๙.๔บาท จำเลยผ่อนชำระหนี้ไปแล้ว ๖ งวด ๆ ละ ๖,๐๐๐ บาท เป็นจำนวนเงิน๓๖,๐๐๐ บาท จำเลยจึงคงค้างชำระหนี้เพียงจำนวน ๓๙๓,๓๕๙.๔๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๔.๕ ต่อปี โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อหุ้นเพื่อโจทก์เอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแย้งนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share