คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เหตุที่จำเลยถือขวานวิ่งไล่ฟันผู้เสียหาย เพราะโกรธที่ถูกกล่าวหาว่าลักพระจตุคามรามเทพ ผู้เสียหายวิ่งเข้าห้องนอนปิดประตู จำเลยฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวถูกประตูห้องนอนโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยเลือกที่จะฟันอวัยวะสำคัญที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย และไม่ได้ฟันผู้เสียหายซ้ำอีกทั้งที่จำเลยสามารถทำได้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้ขวานฟันผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายผู้เสียหายซึ่งเป็นบุพการี และเป็นความผิดที่รวมอยู่กับความผิดฐานพยายามฆ่าบุพการีตามฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 80, 92 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้ เพิ่มโทษ เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (1) ประกอบมาตรา 80 ให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายซึ่งเป็นบุพการีของจำเลยหรือไม่ โดยโจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานว่า ก่อนเกิดเหตุมีคนร้ายงัดตู้เสื้อผ้ารื้อค้นสิ่งของแล้วลักเอาพระจตุคามรามเทพ จำนวน 10 องค์ไป ผู้เสียหายสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้าย เพราะจำเลยมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ เมื่อผู้เสียหายสอบถามจำเลย จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไป จึงเกิดการโต้เถียงทะเลาะกัน แล้วผู้เสียหายไปที่บ้านนายสมชาย แซ่พั่วบุตรอีกคนหนึ่ง พบนางยอมภริยาของผู้เสียหาย สอบถามนางยอมได้ความว่า จำเลยขอเงิน 200 บาท เมื่อนางยอมไม่ให้เงินก็ถูกจำเลยขู่จะทำร้ายจึงหนีมาที่บ้านนายสมชาย ผู้เสียหายเล่าเรื่องที่มีคนร้ายมาลักเอาพระจตุคามรามเทพไป นางยอมและญาติต่างก็สงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้าย ผู้เสียหายจึงกลับมาที่บ้านอีกครั้ง และคาดคั้นให้จำเลยยอมรับว่าเป็นคนลักเอาพระจตุคามรามเทพไป จำเลยโกรธและต่อว่าผู้เสียหาย แล้วจำเลยถือขวานวิ่งมาหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งเข้าห้องนอนปิดประตู จำเลย ใช้ขวานฟันถูกประตูห้องนอน จำเลยพยายามผลักประตู ด่าว่าผู้เสียหายและห้ามผู้เสียหาย ไม่ให้ออกมาจากห้องนอน ถ้าออกมาจะฟันให้ตาย เห็นว่า เหตุที่จำเลยถือขวานวิ่งไล่ฟันผู้เสียหายเพราะโกรธที่ถูกกล่าวหาว่าลักพระจตุคามรามเทพ และจำเลยฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวถูกประตูห้องนอนเป็นรอยตามภาพถ่ายหมาย จ.1 แผ่นที่ 2 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยเลือกที่จะฟันอวัยวะสำคัญที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย และไม่ได้ฟันผู้เสียหายซ้ำอีกทั้งที่จำเลยสามารถทำได้ ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้ขวานฟันผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายผู้เสียหายซึ่งเป็นบุพการี และเป็นความผิดที่รวมอยู่กับความผิดฐานพยายามฆ่าบุพการีตามฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง โจทก์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลยนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นยกคำขอส่วนนี้ เนื่องจากจำเลยพ้นโทษก่อนมีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 จำเลยได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยได้ เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยปัญหาว่าควรเพิ่มโทษจำเลยหรือไม่จึงยุติไป โจทก์จะฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลยได้ไม่ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่าว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 296 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 ปี ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share