คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2815/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างสัญญากู้ยืมเงินโดยไม่เสียค่าอ้างเอกสาร จึงไม่อาจรับฟังสัญญากู้เป็นพยานโจทก์ได้ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าอ้างเอกสารแต่อย่างใด ขอให้ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณารับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไปด้วยนั้นตามอุทธรณ์ของโจทก์พอเข้าใจความหมายได้ว่าโจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสำนวนของศาลชั้นต้น และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ไป ทั้งศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามคำรับดังกล่าวแล้ว กรณีเช่นนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายตามข้อเท็จจริงที่รับกันและปรากฏอยู่ในสำนวนคดีนี้ได้หาใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2535 จำเลยทั้งสองได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 60,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ส่วนต้นเงินจะชำระเมื่อทวงถามหลังจากกู้เงินไปแล้ว จำเลยทั้งสองไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์เลย โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมจำนวน 73,500 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 60,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินไปจากโจทก์เพียง 30,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน โดยโจทก์ให้จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้เงินโดยไม่ได้กรอกข้อความและจำนวนเงินลงไป โจทก์กรอกจำนวนเงินในสัญญากู้เงินไม่ตรงกับความจริงจึงเป็นสัญญากู้เงินปลอม โจทก์บอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะบุตรของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับคำบอกกล่าวนั้นมีอายุเพียง 15 ปี และไม่มีภูมิลำเนาเดียวกับของจำเลยทั้งสอง และมิได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกู้ยืมเงินเกินกว่า 50 บาทจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้มาแสดงจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่โจทก์อ้างสัญญากู้ยืมเงินโดยไม่เสียค่าอ้างเอกสารจึงไม่อาจรับฟังสัญญากู้ดังกล่าวเป็นพยานโจทก์ได้ เสมือนโจทก์ไม่มีสัญญากู้มาแสดงย่อมไม่อาจฟ้องร้องบังคับจำเลยทั้งสองได้พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญากู้เงินโจทก์จริงแต่รับเงินไปเพียงบางส่วนเป็นจำนวน 30,000 บาท และโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้โดยชอบแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ต้นเงินจำนวน 30,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันกู้คือวันที่25 พฤษภาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องอุทธรณ์ เพราะตามคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์คงมีประเด็นเฉพาะเรื่องค่าอ้างเอกสารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรื่องอื่น ๆ โจทก์มิได้กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมายพิเคราะห์แล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าอ้างเอกสารแต่อย่างใด ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้พิจารณารับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไปด้วยเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งจะต้องเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย” ดังนี้ตามอุทธรณ์ของโจทก์ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า โจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าอ้างเอกสารแต่อย่างใด ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิจารณาพิพากษาต่อไปจึงพอเข้าใจความหมายได้ว่าโจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาคดีไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสำนวนของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่าข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ไป 30,000 บาท ทั้งศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามคำรับดังกล่าวแล้วกรณีเช่นนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายตามข้อเท็จจริงที่รับกันและปรากฏอยู่ในสำนวนคดีนี้ได้ หาใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share