แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน จำเลยที่ 1 ผสมเมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยที่ 2 ช่วยส่งถังน้ำและหยิบของในถุงส่งให้ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่ยึดได้มีทั้งที่ผลิตสำเร็จอัดเป็นเม็ดแล้วยังเป็นผลึกและยังเป็นของเหลวอยู่ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลาง
เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีจำนวนมาก ซึ่งได้มาจากการผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัย และมีที่เป็นเม็ดแล้ว และที่เป็นผลึกและน้ำยาตกผลึกเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยกำลังผสมเป็นของเหลวอีกประกอบกับจำเลยมีซองพลาสติกกับถุงพลาสติกในขนาดต่าง ๆ ที่จำเลยมีไว้สำหรับบรรจุเมทแอมเฟตามีนออกขาย จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้เพื่อขาย
ลูกระเบิดซ้อมขว้างของกลางอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แม้ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็เป็นเครื่องกระสุนปืนตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 4(2)
ความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มีวัตถุแห่งการกระทำความผิดแตกต่างกัน กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้คนละฉบับ การมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55,78 วรรคหนึ่ง ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า มีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และการกระทำความผิดสองฐานดังกล่าวแยกออกได้จากการกระทำความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้จำเลยจะมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกัน และพร้อมกับที่จำเลยผลิตและมีเมทแอมเฟตามีนกับอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตเป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายบางส่วนมิใช่เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิต และลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นอีกกระทงหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้อง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2536 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตด้วยการทำ ผสม ปรุง และแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนกับอีเฟดรีน อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยผลิตเมทแอมเฟตามีนผสมอีเฟดรีนและคาเฟอีนเป็นเม็ดจำนวน 47 เม็ด หนัก 3.590 กรัม และเป็นผงอีก 1 หลอด หนัก 0.620 กรัม ผลิตเมทแอมเฟตามีนผสมคาเฟอีนจำนวน 166 เม็ด หนัก 11.620 กรัม ผลิตเมทแอมเฟตามีนผสมอีเฟดรีนเป็นผลึกจำนวน 1 ถุง แยกเป็นเมทแอมเฟตามีนหนัก 210.8 กรัม อีเฟดรีนหนัก 78.9 กรัม และเป็นน้ำยาตกผลึกอีก 1 กล่อง แยกเป็นเมทแอมเฟตามีนหนัก 243 กรัม อีเฟดรีนหนัก 92.7 กรัม รวมเป็นเมทแอมเฟตามีนหนัก 453.8 กรัม อีเฟดรีนหนัก 171.6 กรัม ผลิตอีเฟดรีนผสมเมทแอมเฟตามีนและคลอร์ซูโดอีเฟดรีนจำนวน 1 หม้อปริมาณ 35 ลิตร ไม่สามารถหาน้ำหนักของอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนได้และผลิตอีเฟดรีนผสมคลอร์ซูโดอีเฟดรีนจำนวน 2 ถัง ปริมาณ 50 ลิตรไม่สามารถแยกหาน้ำหนักเฉพาะของอีเฟดรีนได้โดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อขาย ซึ่งเมทแอมเฟตามีนเกินกว่าปริมาณ 0.500 กรัมที่รัฐมนตรีกำหนดโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย กับจำเลยทั้งสองร่วมกันมีลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างของกองทัพอากาศไทยจำนวน 1 ลูก ลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างแบบเอ็ม 21 จำนวน 1 ลูก ลูกระเบิดชนิดควันสีม่วงแบบเอ็ม 18 จำนวน1 ลูก กระสุนปืนเล็กกลขนาด .223 จำนวน 400 นัด อยู่ในสภาพใช้การได้และใช้ยิงได้ซึ่งเป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและจำเลยทั้งสองร่วมกันมีกระสุนปืนออโตเมติกขนาด .45 จำนวน 95 นัด กระสุนปืนลูกกรดขนาด .22 จำนวน 60 นัด หัวกระสุนปืนรีวอลเวอร์ขนาด .38และหัวกระสุนปืนออโตเมติกขนาด .45 มีน้ำหนักรวม 20 กิโลกรัมชนวนท้ายกระสุนปืนหรือแก๊ป 1,600 ชิ้น ดินส่งกระสุนปืนหนัก 2.8กิโลกรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน อีเฟดรีนดังกล่าวกับเครื่องจักรอุปกรณ์เครื่องใช้ ภาชนะและหีบห่อที่ใช้ในการผลิต ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องและเครื่องกระสุนปืนต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4, 5, 6, 13 ทวิ, 59, 62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 55, 72, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33, 91 โดยนับโทษต่อกัน และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับว่ามีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองแต่ปฏิเสธว่ามิได้ผลิตและขาย และรับว่ามีกระสุนปืนเล็กกล และกระสุนปืนออโตเมติกไว้ในครอบครอง ปฏิเสธข้อหาอื่น จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธทุกข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง, 55, 78 วรรคหนึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2และฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำคุกกระทงละ 20 ปี ฐานมีเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 5 ปี ฐานมีเครื่องกระสุนปืนประเภท ชนิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุก 5 ปีรวมจำคุก 50 ปี ริบของกลาง ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์ และจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย จำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานมีไว้เพื่อขาย วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำคุก 10 ปีฐานมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้จำคุก 3 ปี ฐานมีเครื่องกระสุนปืน จำคุก 1 ปี ความผิดฐานนี้จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน รวมกับโทษในความผิดฐานผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ที่จำคุก 20 ปี แล้วเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83จำคุก 20 ปี กระสุนปืนลูกกรดและปลอกลูกระเบิดชนิดขว้างแบบเอ็มเค 2 ของกลางไม่ริบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังได้ว่า วันเกิดเหตุพันตำรวจตรีสมนึก จันทร์เกตุ ร้อยตำรวจเอกประวิทย์ วิธวัชวาทินและพลตำรวจสิทธิชัย ดวนสูง ร่วมกันจับจำเลยทั้งสอง และยึดอีเฟดรีนผสมเมทแอมเฟตามีนและคลอร์ซูโดอีเฟดรีน อีเฟดรีนผสมคลอร์ซูโดอีเฟดรีนเป็นของเหลว เมทแอมเฟตามีนผสมอีเฟดรีนเป็นผลึก และเมทแอมเฟตามีนผสมอีเฟดรีนและคาเฟอีนเป็นผงและอัดเป็นเม็ดกับเมทแอมเฟตามีนผสมคาเฟอีนอัดเป็นเม็ดพร้อมเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต กับกระสุนปืนของกลางที่จำเลยที่ 1มีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างของกองทัพอากาศไทยอยู่ในสภาพทำการซ้อมขว้างได้ 1 ลูก ลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างแบบเอ็ม 21 สภาพใช้การไม่ได้เนื่องจากชนวนถูกทำลายและวัตถุระเบิดไม่มีบรรจุอยู่และลูกระเบิดชนิดควันสีม่วงอยู่ในสภาพใช้การได้ซึ่งเป็นเครื่องกระสุนปืนประเภทที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองได้จากบ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางหรือไม่ เห็นว่า บ้านเกิดเหตุเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 ใช้เป็นสถานที่ผลิตเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลาง มีเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับใช้ผลิตสิ่งดังกล่าวอยู่มากมาย บางชิ้นตั้งอยู่ในลักษณะยึดติดแน่นและจำเลยที่ 1 นำชี้ได้ว่าชิ้นไหนใช้สำหรับทำอะไร จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับผลิตเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนดังกล่าวจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ดังกล่าวด้วย บ้านเกิดเหตุมีพฤติการณ์น่าสงสัย ปิดประตูรั้วอยู่ตลอดเวลาจะเปิดแต่เฉพาะมีรถแล่นเข้าออก กลางคืนเปิดไฟฟ้าสว่าง มีเสียงเครื่องจักรทำงาน และมีกลิ่นสารเคมี วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังใช้ไม้พายคนของเหลวในถังพลาสติกสีฟ้าหรือสีน้ำเงินอยู่ในเพิงหลังบ้าน โดยมีจำเลยที่ 2 คอยช่วยส่งถังน้ำและหยิบสิ่งของในถุงส่งให้ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 รู้ตัวว่ามีคนแอบดูจึงผละจากถังดังกล่าวไปดึงสายไฟฟ้าออกจากถังอีกใบหนึ่ง แล้วมีการระเบิดเกิดขึ้น จากนั้นจำเลยทั้งสองก็กระโดดข้ามรั้วออกมาทางหลังบ้าน พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน และจำเลยที่ 1 คนของเหลวอยู่ในถัง ซึ่งน่าเชื่อว่ากำลังผสมเมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยที่ 2 ช่วยส่งถังน้ำและหยิบของในถุงส่งให้จำเลยที่ 1 ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่ยึดได้มีทั้งที่ผลิตสำเร็จอัดเป็นเม็ดแล้ว ยังเป็นผลึกและยังเป็นของเหลวอยู่ ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลาง
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือไม่ เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่จำเลยที่ 1มีไว้ในครอบครองมีจำนวนมาก ได้มาจากการผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัยและมีที่เป็นเม็ดแล้วจำนวนถึง 213 เม็ด เป็นผลึกและน้ำยาตกผลึกอีกเกินกว่าครึ่งกิโลกรัมและจำเลยที่ 1 กำลังผสมเป็นของเหลวอีก 85 ลิตรประกอบกับปรากฏตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุว่าจำเลยที่ 1มีซองพลาสติกสีส้ม น้ำหนักรวม 49 กิโลกรัม กับถุงพลาสติกใสขนาดต่าง ๆ รวมกันอยู่ถึง 45 กิโลกรัม และจำเลยที่ 1 นำชี้ว่ามีไว้สำหรับบรรจุเมทแอมเฟตามีนออกขาย จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1มีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้เพื่อขาย
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สามตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าลูกระเบิดซ้อมขว้างของกองทัพอากาศไทยและลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างแบบเอ็ม 21 ของกลาง ใช้การไม่ได้เพราะไม่มีดินระเบิด และลูกระเบิดควันของกลางไม่มีอานุภาพทำลายล้างไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินจึงไม่เป็นเครื่องกระสุนปืนหรือไม่ เห็นว่า แม้ลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างแบบเอ็ม 21 อยู่ในสภาพใช้การไม่ได้เพราะชนวนถูกทำลายและวัตถุระเบิดไม่มีบรรจุอยู่ไม่เป็นเครื่องกระสุนปืนก็ตาม แต่ได้ความตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ปจ.1 ของพันตำรวจโทวิชัย กองปัญโญ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ลูกระเบิดของกลางว่า ลูกระเบิดซ้อมขว้างของกองทัพอากาศไทยของกลางอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ จึงต้องฟังว่าลูกระเบิดดังกล่าวใช้การได้ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4(2) บัญญัติว่า”เครื่องกระสุนปืน” หมายความรวมตลอดถึงกระสุนโดด กระสุนปรายกระสุนแตก ลูกระเบิด ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิดและจรวด ทั้งชนิดที่มีหรือไม่มีกรดแก๊ส เชื้อเพลิง เชื้อโรค ไอพิษ หมอก หรือควัน หรือกระสุนลูกระเบิด ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิดและจรวด ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันหรือเครื่องหรือสิ่งสำหรับอัดหรือทำ หรือใช้ประกอบเครื่องกระสุนปืนหาได้บัญญัติว่าสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวจะต้องทำอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ จึงจะเป็นเครื่องกระสุนปืนไม่ เมื่อลูกระเบิดซ้อมขว้างของกองทัพอากาศไทยและลูกระเบิดควันของกลางทั้งสองลูกนี้เป็นลูกระเบิดที่ใช้การได้แม้จะไม่มีอานุภาพทำลายล้าง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็เป็นเครื่องกระสุนปืนตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการสุดท้ายว่าการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ทั้งสี่ฐานเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท กับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มีวัตถุแห่งการกระทำความผิดแตกต่างกัน กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้คนละฉบับ และการมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55, 78วรรคหนึ่ง ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และการกระทำความผิดสองฐานดังกล่าวแยกออกได้จากการกระทำความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย ฉะนั้นแม้จำเลยที่ 1 จะมีเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกันและพร้อมกับที่จำเลยที่ 1 ผลิตและมีเมทแอมเฟตามีนกับอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันแต่ความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขายนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยที่ 1 ผลิตเป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยที่ 1มีไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษเป็นสองกรรมแต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อขายบางส่วนมิใช่เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยที่ 1 ผลิต และลงโทษจำเลยที่ 1ฐานมีวัตถุออกฤทธ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นอีกกระทงหนึ่งจึงเป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวในฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานผลิตและมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงคงจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 23 ปี 6 เดือน นอกจากนี้ที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2