คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2790/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาและคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ประสงค์จะอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด15 วัน นับแต่วันอ่านคำสั่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 วางเงินค่าธรรมเนียมศาลจำนวน 200 บาท สำหรับอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้สืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไป จำเลยที่ 1และที่ 2 จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการมิชอบ และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2จึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันและแทนกันชำระเงินจำนวน 45,776,969.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 24,026,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระเงินดังกล่าวให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่6673, 6674, 1338, 5078, 15338, 15339, 15340, 15910, 15911,4797, 15537, 15538, 15918, 15761, 15762, 15765, 15043,4796 และ 15041 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 นำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่นำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ในระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสี่แถลงรับในประเด็นว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และโจทก์มีฐานะเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน45,776,969.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงิน 24,026,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 6673, 6674, 1338, 5078, 15338, 15339,15340, 15910, 15911, 4797, 15537, 15538, 15918, 15761,15762, 15765, 15043, 4796 และ 15041 พร้อมสิ่งปลูกสร้างนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์คำพิพากษา และจำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งที่ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มาศาลถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาและคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ประสงค์จะอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันอ่านคำสั่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 วางเงินค่าธรรมเนียมศาลจำนวน 200 บาทสำหรับอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง แต่ไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งรับเฉพาะอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาที่งดสืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้สืบพยานจำเลยที่ 1และที่ 2 ต่อไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการมิชอบ และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2จึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

อนึ่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้เสียค่าขึ้นศาลจำนวน 200 บาทในตอนยื่นอุทธรณ์แล้ว ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้ชำระค่าขึ้นศาลจำนวน200 บาท อีก จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลซ้ำ ต้องคืนเงินค่าขึ้นศาลที่ซ้ำแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาของจำเลยที่ 1ที่ 2 คืนค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งหมดและค่าขึ้นศาลที่ชำระซ้ำในชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share