คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การยื่นซองประกวดราคาการก่อสร้างมีเงื่อนไขหลายประการที่โจทก์(องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย) วางไว้ เมื่อโจทก์ได้ออกประกาศแจ้งความเรียกประกวดราคา ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เข้ายื่นซองประกวดราคาต่อโจทก์จึงเท่ากับว่าจำเลยได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของโจทก์ทุกประการต่อมาจำเลยยื่นหนังสือต่อโจทก์มีข้อความว่า ‘เนื่องจากความผิดพลาดในการคิดคำนวณราคาคลาดเคลื่อนและตกหล่นไปบ้างบางรายการ ซึ่งหากไม่เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้า (จำเลย) ก็จะต้องเสนอราคาสูงกว่านี้อีกมาก ฯลฯ โดยข้าพเจ้าไม่มีเจตนาแต่อย่างใดเลยและก็เกินแก่การแก้ไขได้ ดังนั้น…ฯลฯ…. ขอท่านได้โปรดพิจารณากรุณาผ่อนผันให้ข้าพเจ้าได้สละสิทธิการเสนอราคางานรายนี้โดยยกเว้นไม่ต้องพิจารณาราคาที่ข้าพเจ้าเสนอในครั้งนี้ เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด….ฯลฯ…..’ หนังสือของจำเลยดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นหนังสือสละสิทธิการเสนอราคา และขณะเดียวกันก็เป็นหนังสือที่แสดงการขอถอนซองประกวดราคาต่อโจทก์ด้วย เพราะมีถ้อยคำว่า’เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด’ เงื่อนไขในการยื่นซองประกวดราคาต่อโจทก์ซึ่งกำหนดไว้ว่า ซองของผู้เสนอราคาทุกรายที่ได้ยื่นไว้ต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การโทรศัพท์ฯ แล้ว ย่อมถือว่าเป็นสิทธิขององค์การโทรศัพท์ฯจะถอนคืนไปมิได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าผู้ใดสละสิทธิการเสนอราคาหรือขอถอนซองประกวดราคาภายหลังยื่นซองประกวดราคาแล้ว ถือว่าผู้นั้นผิดเงื่อนไขการประกวดราคา ซึ่งองค์การโทรศัพท์ฯ จะริบเงินมัดจำตามรายการนี้ได้ทันที
คำฟ้องของโจทก์แม้จะกล่าวว่าฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัด สาขาวัดตึก ก็ต้องถือว่าโจทก์ฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัดนั่นเอง เพราะบริษัทจำกัด นอกจากสำนักงานแห่งใหญ่แล้วจะมีสำนักงานสาขาที่ใดอีกก็ได้และสาขาของบริษัทใดก็คือส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นนั่นเอง จึงไม่ต้องมีการจดทะเบียนให้สาขาเป็นบริษัทขึ้นอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ประกาศประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารชุมสายโทรศัพท์โดยมีเงื่อนไขแห่งข้อสัญญาการประกวดราคา จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการได้ยื่นของประกวดราคาก่อสร้างอาคารชุมสายโทรศัพท์แห่งนี้ต่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ โดยเสนอราคาค่าก่อสร้างทั้งหมดเป็นเงิน 848,000 บาท และเสนอให้ราคานี้ทรงอยู่ได้ภายในกำหนดเวลา 60 วัน ซึ่งในการยื่นของประกวดราคาครั้งนี้ จำเลยที่ 1, 2 ได้นำหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3 ที่ค้ำประกันในวงเงิน 50,000 บาท มาวางไว้กับโจทก์พร้อมซองประมูลตามประกาศและเงื่อนไขแห่งข้อสัญญาการประกวดราคาด้วยโดยจำเลยที่ 3 ได้รับรองและให้สัญญาต่อโจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1, 2 ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการยื่นซองประกวดราคาประการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 3 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ภายในวงเงิน 50,000 บาท ในระหว่างระยะเวลาที่คณะกรรมการขององค์การโทรศัพท์กำลังพิจารณาข้อเสนอราคาจ้างเหมาจากผู้ยื่นซองประกวดเพื่อสั่งจ้างเหมานี้เอง จำเลยที่ 1, 2 ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดก็ได้ยื่นหนังสือต่อโจทก์ ขอสละสิทธิการเสนอราคาของจำเลยในการประกวดราคาครั้งนี้ โดยขอให้โจทก์ยกเว้นไม่ต้องพิจารณาราคาที่จำเลยเสนอเสมือนหนึ่งจำเลยมิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการผิดเงื่อนไข โจทก์จึงจำเป็นต้องพิจารณาและสั่งว่าจ้างห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลพระประแดงการช่างผู้ซึ่งเสนอราคาก่อสร้างรายนี้ทั้งหมดเป็นเงิน 1,030,000 บาท อันเป็นราคาต่ำถัดจากราคาที่จำเลยเสนอขึ้นไป โดยต้องเสียค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 182,000 บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่า เงื่อนไขในการประกวดราคาการก่อสร้างนั้น โจทก์ทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะพิจารณาแก่ผู้เสนอราคาใดให้เป็นผู้รับเหมาก็ได้ แม้จะไม่ใช่ผู้เสนอราคาต่ำสุดก็ตาม หรือจะยกเลิกการประกวดราคาครั้งนี้เสียก็ได้ หนังสือของจำเลยที่ 1 ตามที่กล่าวนั้นก็มิใช่หนังสือที่แสดงการสละสิทธิของจำเลยในการประกวดราคาครั้งนี้ การประกวดราคาครั้งนี้จำเลยที่ 1 จึงยังเป็นผู้เสนอราคายืนอยู่ภายใน 60 วัน มิได้ผิดเงื่อนไขหรือสัญญาใด ๆ กับโจทก์เลย โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ จำเลยที่ 2ต่อสู้ว่าการยื่นซองประกวดราคาก่อสร้างอาคารชุมสายโทรศัพท์รายนี้จำเลยที่ 2 กระทำในฐานะเป็นผู้จัดการกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลไม่ใช่ได้กระทำเป็นการส่วนตัว

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 3 ไม่ได้ โจทก์เป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการยื่นซองประกวดราคา เพราะมิได้เรียกให้จำเลยที่ 1 มาทำสัญญา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การยื่นซองประกวดราคาการก่อสร้างรายนี้เป็นอันรับกันทั้งสองฝ่ายว่ามีเงื่อนไขอยู่หลายประการที่โจทก์วางไว้ เมื่อโจทก์ได้ออกประกาศแจ้งความเรียกประกวดราคา ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เข้ายื่นซองประกวดราคาต่อโจทก์ จึงเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 ได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของโจทก์ทุกประการ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 ยื่นหนังสือต่อโจทก์ ฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2508 เป็นการผิดเงื่อนไขในการยื่นซองประกวดราคาของโจทก์หรือไม่

ความข้อนี้ปรากฏข้อความตามหนังสือของจำเลยนั้นว่า “เนื่องจากความผิดพลาดในการคิดคำนวณราคาคลาดเคลื่อนและตกหล่นไปบ้างบางรายการ ซึ่งหากไม่เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้า (จำเลย) ก็จะต้องเสนอราคาสูงกว่านี้อีกมาก ฯลฯ โดยข้าพเจ้าไม่มีเจตนาแต่อย่างใดเลย และก็เกินแก่การแก้ไขได้ ดังนั้น …. ฯลฯ …. ขอท่านได้โปรดพิจารณากรุณาผ่อนผันให้ข้าพเจ้าได้สละสิทธิการเสนอราคางานรายนี้โดยยกเว้นไม่ต้องพิจารณาราคาที่ข้าพเจ้าเสนอในครั้งนี้ เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด …..ฯลฯ 2…..” หนังสือของจำเลยดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นหนังสือสละสิทธิการเสนอราคา และขณะเดียวกันก็เป็นหนังสือที่แสดงการขอถอนซองประกวดราคาต่อโจทก์ด้วย เพราะมีถ้อยคำว่า”เสมือนหนึ่งว่า ข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด” หนังสือของจำเลยจึงผิดเงื่อนไขในการยื่นซองประกวดราคาต่อโจทก์ซึ่งกำหนดไว้ว่า ซองของผู้เสนอราคาทุกรายที่ได้ยื่นไว้ต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การโทรศัพท์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นสิทธิขององค์การโทรศัพท์ฯ จะถอนคืนไปมิได้ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าผู้สละสิทธิการเสนอราคา หรือขอถอนซองประกวดราคาภายหลังการยื่นซองประกวดราคาแล้ว ถือว่าผู้นั้นผิดเงื่อนไขการประกวดราคา ซึ่งองค์การโทรศัพท์ฯ จะริบเงินมัดจำตามรายการนี้ได้ทันที

สำหรับฎีกาของโจทก์ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์คดีนี้แม้จะกล่าวว่าฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัด สาขาวัดตึก ก็ดี ก็ต้องถือว่า โจทก์ฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัด นั่นเอง หาใช่ฟ้องบุคคลอื่นใดไม่ ทั้งนี้ เพราะบริษัทจำกัดนั้นนอกจากสำนักงานแห่งใหญ่แล้ว จะมีสำนักงานสาขาที่ใดอีกก็ได้ และสาขาของบริษัทใดก็คือส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นนั่นเองจึงไม่ต้องมีการจดทะเบียนให้สาขาเป็นบริษัทขึ้นอีก ซึ่งคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็ว่า จำเลยที่ 3 เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนเลขที่ 271 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2477 มีนายเจิม ภูมิจิตร เป็นผู้จัดการ ตรงกับหนังสือรับรองการจดทะเบียนของธนาคารไทยพัฒนา จำกัด เอกสารหมาย ล.16 ที่จำเลยที่ 3 อ้างเป็นพยาน เป็นการยืนยันว่าฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัด นั้นอยู่แล้ว

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีนี้ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share