คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานลักทรัพย์ เป็นเรื่องเอาทรัพย์ของคนอื่นหรือเอาทรัพย์ซึ่งคนอื่นมีเจ้าของร่วมด้วยไปโดยเจตนาจะเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ฉะนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเจตนาที่จะเอาทรัพย์เป็นของตนหรือของผู้อื่น แต่แสดงว่าเป็นเรื่องเจตนาอย่างอื่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยวิ่งราวทรัพย์และเอาไปซึ่งทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานได้ยึดรักษาไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐาน

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกระทำผิดดังฟ้องโจทก์ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142, 336 ให้ลงโทษตาม มาตรา 336 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 2 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยต้องการให้น้องชายจำเลยพ้นผิด จำเลยมุ่งต่อการเอาไปหรือทำลายทรัพย์สินของกลางอันเจ้าพนักงานยึดหรือรักษาไว้ หาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม มาตรา 336 พิพากษาแก้ว่า จำเลยมิได้กระทำผิดตาม มาตรา 336 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์

ศาลฎีกาพิจารณาบทกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334และมาตรา 1(1) แล้ว เห็นว่าความหมายของความผิดฐานลักทรัพย์เป็นเรื่องเอาทรัพย์ของคนอื่นหรือเอาทรัพย์ซึ่งคนอื่นมีเจ้าของร่วมด้วยไปโดยเจตนาเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ตามข้อฎีกาของโจทก์ไม่แสดงว่าจำเลยเจตนาที่จะเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น แต่แสดงว่า เป็นเรื่องเจตนาอย่างอื่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share