คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2789/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2822 มีการรังวัดแบ่งแยกก่อนฟ้องและทางพิจารณาโฉนดเลขที่ 2822 ไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 แต่ก็ไม่ปรากฏว่าทางพิพาทมีอยู่ในแห่งอื่นอีก และโฉนดเลขที่ 5977ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมนั้นก็แบ่งแยกมาจากโฉนดเลขที่ 2822 ที่โจทก์ฟ้องย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าทางพิพาทที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือทางพิพาทที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทั้งการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทนั้น ไม่จำเป็นต้องระบุโฉนดเลขที่ ทางพิพาทก็มีผลบังคับได้อยู่แล้ว ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 5977 จึงหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3578 ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีจำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยาและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 2282 ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีโดยใส่ชื่อของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้ในทะเบียนร่วมกับนายทวี เย็นสุดใจ ที่ดินของโจทก์อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยทั้งสอง โจทก์และผู้อื่นได้ใช้ทางเดินกว้างประมาณ 1 เมตรยาวประมาณ 10 เมตร ผ่านในที่ดินของจำเลยทั้งสองเพื่อไปมาหาสู่กันเป็นเวลากว่า 50 ปี แล้วทางดังกล่าวจึงตกเป็นทางภารจำยอมของโจทก์ต่อมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2530 จำเลยทั้งสองไม่ยอมให้โจทก์เดินผ่านทางดังกล่าว และได้สร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางเดินทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาท ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 10,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายทวี เย็นสุดใจ ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2822 ตำบลปากเกร็ดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินบางส่วนจากนายทวี โจทก์ เพิ่งเดินในที่ดินโฉนดเลขที่ 2822 เมื่อประมาณปลายปี 2525 โดยความยินยอมของนายทวี โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยไม่จำเป็นต้องผ่านที่ดินที่จำเลยที่ 2 ซื้อมา จำเลยทั้งสองกั้นรั้วคอนกรีตตามสิทธิที่พึงมีตามกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 5977 ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีตลอดแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันตก กว้าง 1 เมตร และให้จำเลยที่ 2ไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมทางพิพาทในที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักและเหตุผลดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และคนในครอบครัวของโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยความสงบและโดยเปิดเผยมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วจึงได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิปิดกั้นทางพิพาท ที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2822 มีการรังวัดแบ่งแยกก่อนฟ้องและทางพิจารณาโฉนดเลขที่ 2822 ไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมในโฉนดเลขที่ 5977จึงเป็นการนอกฟ้อง เกินคำขอ และไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าแม้โฉนดเลขที่ 5977 ซึ่งมีทางพิพาทอยู่จะไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าทางพิพาทมีอยู่ในแห่งอื่นอีก และโฉนดเลขที่ 5977 ก็แบ่งแยกมาจากโฉนดเลขที่ 2822 ที่โจทก์ฟ้องจึงย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ทางพิพาทที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือทางพิพาทที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทั้งการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทนั้นไม่จำเป็นต้องระบุโฉนดเลขที่ทางพิพาทก็มีผลบังคับได้อยู่แล้วดังนั้น คำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 5977 จึงหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share