คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ทรงสิทธิเก็บกินย่อมมีอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1417 เพียงมีสิทธิครอบครอง ใช้ ถือเอาซึ่งประโยชน์ และมีอำนาจจัดการทรัพย์สินนั้นเท่านั้น หามีอำนาจห้ามมิให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ขายทรัพย์สินนั้นไป โดยไม่เป็นที่เสื่อมสิทธิของตนไม่ บุตรผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท ย่อมมีอำนาจที่จะขายทรัพย์สินนั้นได้ตามมาตรา 1336 และสิทธิเก็บกินเป็นทรัพย์สิทธิประเภทหนึ่ง ย่อมใช้ยันบุคคลภายนอกได้ทั่วไป บุคคลภายนอกผู้รับโอนหาอาจทำให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินเสื่อมสิทธิที่มีอยู่ได้ไม่
ผู้คัดค้านโอนที่พิพาทซึ่งมีเรือน 2 หลังปลูกอยู่บนที่พิพาทให้แก่บุตรผู้ร้องไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยมิได้ระบุแยกให้ชัดเจนว่า เรือน 2 หลังมิได้โอนยกให้ไปด้วยแล้ว ย่อมหมายความว่าผู้คัดค้านได้โอนยกให้ที่พิพาทพร้อมเรือน 2 หลังนั้นด้วย เพราะเรือนดังกล่าวเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น
เจ้าของกรรมสิทธิ์จะขายที่ดินของตนแปลงใดก็ได้ ในเมื่อไม่ทำให้เสื่อมสิทธิแก่ผู้ทรงสิทธิเหนือที่ดินแปลงนั้น ๆ ถ้ามี การที่บุตรผู้ร้องจะขายที่ดินพิพาทโดยมีภาระสิทธิเก็บกินติดไปด้วยก็ย่อมกระทำได้ตามสิทธิของตนที่มีอยู่ จะถือว่ามีเจตนาไม่สุจริตหาได้ไม่

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและร้องเพิ่มเติมว่า นางสาวพรรัชนีบรรลุนิติภาวะแล้วนายพงษ์ศักดิ์ นางสาวพรรณี เด็กชายอรุณ เด็กชายสุขสันต์และเด็กหญิงจิรพรรณเป็นบุตรของผู้ร้อง บุตรทั้ง ๖ คนนี้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๘๔๕พร้อมด้วยเรือน ๒ หลัง โดยนายนิง บุญชวลิต ผู้เป็นตายกให้ ขณะนี้ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ๕ คน ผู้ร้องมีรายได้น้อยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะส่งเสียเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ทั้ง ๕ คนได้ ประสงค์จะขายที่ดินและเรือน ๒ หลังให้นายระดม แสนนิลในราคา ๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายเลี้ยงดูเป็นทุนให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแทนผู้เยาว์
นายนิง บุญชวลิต ร้องคัดค้านว่า ที่ดินซึ่งผู้ร้องขอขายนั้นเป็นที่ดินซึ่งผู้คัดค้านยกให้บุตรผู้ร้องทั้ง ๖ คน แต่สงวนสิทธิเก็บกินไว้ตลอดชีวิต ส่วนเรือน๒ หลังปลูกอยู่ในที่ดินนี้ เป็นของผู้คัดค้าน ๆ มิได้ยกให้บุตรทั้ง ๖ คนของผู้ร้องปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครพนมนอกจากนี้บุตรทั้ง ๖ คนของผู้ร้องยังมีที่ดินอีก ๑ แปลงที่ผู้คัดค้านยกให้ตามสัญญาดังกล่าว หากมีความจำเป็นต้องขายก็ควรจะขายที่ดินแปลงนั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายพุฒ สิงห์ศรี ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมด้วยเรือน ๒ หลังดังกล่าวแทนบุตรผู้เยาว์ทั้ง ๕ คนได้ตามคำร้องขอ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านได้จดทะเบียนสิทธิเก็บกินเหนือที่ดินพิพาทจริงและวินิจฉัยว่าที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านทรงสิทธิเก็บกินในที่พิพาท แม้บุตรของผู้ร้องจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทก็หาอาจขายที่พิพาทให้บุคคลภายนอกได้ไม่ เพราะบุคคลภายนอกผู้รับโอนที่พิพาทไปแล้ว อาจเป็นเหตุแห่งความยุ่งยากลำบากเกี่ยวกับการใช้สิทธิเก็บกินของผู้คัดค้านก็ได้นั้น เห็นว่าผู้คัดค้านซึ่งทรงสิทธิเก็บกินในที่พิพาทย่อมมีอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๑๗ เพียงมีสิทธิครอบครองใช้ ถือเอาซึ่งประโยชน์ และมีอำนาจจัดการทรัพย์สินนั้นเท่านั้น หามีอำนาจห้ามมิให้เจ้าของกรรมสิทธิ์นั้นขายทรัพย์สินไปโดยไม่เป็นที่เสื่อมสิทธิของผู้คัดค้านไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าบุตรผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทจึงย่อมมีอำนาจที่จะขายทรัพย์สินนั้นได้ตามมาตรา ๑๓๓๖ และสิทธิเก็บกินของผู้คัดค้านในที่พิพาทเป็นทรัพย์สิทธิประเภทหนึ่ง ย่อมใช้ยันบุคคลภายนอกได้ทั่วไป บุคคลภายนอกผู้รับโอนหาอาจทำให้ผู้คัดค้านเสื่อมสิทธิที่มีอยู่ได้ไม่
ผู้คัดค้านฎีกาว่า เรือน ๒ หลัง ถ้าผู้คัดค้านโอนยกให้แก่บุตรผู้ร้องไปด้วยจริงก็จะต้องระบุไว้ด้วยในเวลาโอนว่ายกที่ดินพร้อมด้วยเรือน ๒ หลังนั้นด้วย เห็นว่าการที่ผู้คัดค้านโอนที่พิพาทซึ่งมีเรือน ๒ หลังนั้นปลูกอยู่ให้แก่บุตรผู้ร้องไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมิได้ระบุแยกให้ชัดเจนว่าเรือน ๒ หลังนั้นมิได้โอนยกให้ไปด้วยแล้ว ย่อมหมายความว่าผู้คัดค้านโอนยกให้ที่พิพาทไปพร้อมสิ่งปลูกสร้างคือเรือน ๒ หลังนั้นด้วย เพราะเรือนเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท
ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า บุตรผู้ร้องมีที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งปลอดภาระและสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินนั้น เหตุใดไม่ขาย ผู้ร้องกลับมาขอขายที่พิพาทซึ่งผู้คัดค้านมีสิทธิเก็บกินอยู่ แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมีเจตนาไม่สุจริตนั้น เห็นว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์จะขายที่ดินของตนแปลงใดก็ได้ ในเมื่อไม่ทำให้เสื่อมสิทธิแก่ผู้ทรงสิทธิเหนือที่ดินแปลงนั้น ๆ ถ้ามี การที่บุตรผู้ร้องจะขายที่พิพาทโดยมีภาระสิทธิเก็บกินของผู้คัดค้านติดไปด้วยนั้น ก็ย่อมกระทำได้ตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ทั้งศาลล่างก็ได้ฟังข้อโต้แย้งและพยานหลักฐานในท้องสำนวนแล้ว เห็นสมควรให้ขายที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องจึงมิได้มีเจตนาไม่สุจริตแต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share