แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานนำหมายเรียกไปส่งยังสถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันซึ่งโจทก์เคยประกอบการค้าแต่ไม่มีผู้รับจึงทำการปิดหมายเรียกไว้ณ ที่นั้นเมื่อไม่ปรากฏหลักฐานแสดงว่าโจทก์ได้แจ้งเลิกกิจการค้าหรือย้ายสำนักงานที่ประกอบการค้านั้นไปที่อื่นจะถือว่าการส่งหมายเรียกไม่ชอบไม่ได้และการที่โจทก์ไม่นำส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีมาให้เจ้าพนักงานตรวจสอบตามที่กำหนดไว้ในหมายเรียกเจ้าพนักงานประเมิน จึงมีอำนาจเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1)
รายได้จากการรับฝากรถต้องเสียภาษีการค้าประเภทคลังสินค้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบการค้าโดยจัดตั้งสถานที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นทุกชนิด เมื่อวันที่ 5มิถุนายน 2519 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2513 ถึงปี พ.ศ. 2516 จากโจทก์ รวมเป็นเงินภาษีทั้งสิ้น419,485 บาท 55 สตางค์ โดยอ้างว่าโจทก์ไม่นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปให้ตรวจสอบตามหมายเรียก จำเลยที่ 2 จึงต้องทำการประเมินเรียกเก็บภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) ซึ่งเหตุที่จำเลยที่ 2 อ้างไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ไม่เคยได้รับหมายเรียกจากจำเลย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจทำการประเมินตามมาตรา 71(1) ได้ โจทก์เสียภาษีทุกประเภทถูกต้องครบถ้วนแล้ว โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีของจำเลยที่ 2 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5
จำเลยทั้งห้าให้การว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2516 ไม่ถูกต้อง เพราะไม่นำรายรับจากกิจการขนส่งและรับฝากรถไปรวมยื่นชำระภาษีการค้าประจำเดือน จำเลยที่ 2 จึงใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(3)และ 89 ทวิ ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มเติมรวมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม นอกจากนี้การที่โจทก์ไม่นำบัญชีมาให้ตรวจสอบโจทก์จึงต้องรับผิดตามมาตรา 71(1) ในการชำระภาษีที่ยังขาดอยู่ตามที่ปรากฏในการประเมินสำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคล การที่โจทก์อ้างว่าไม่เคยได้รับหมายเรียกให้นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปให้ตรวจสอบนั้นไม่เป็นความจริง โจทก์ไม่ยอมรับหมายเรียกเอง เมื่อจำเลยได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปทำการปิดหมายเรียกไว้ที่ประตูสำนักงานของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ได้รับหมายเรียกแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ยอมปฏิบัติตามหมายเรียก และไม่ไปพบเจ้าหน้าที่ของจำเลย จำเลยที่ 2 จึงได้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าเพิ่มเติมตามจำนวนที่ปรากฏในฟ้อง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องเรียกโจทก์ไปสอบถาม หรือให้โจทก์ทำบัญชีและเอกสารไปประกอบการพิจารณา เพราะเห็นว่าคำอุทธรณ์และแบบแสดงรายการเสียภาษีเพียงพอที่จำเลยจะวินิจฉัยได้แล้ว ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลเมื่อสถานีบริการที่จำเลยไปปิดหมายไม่เป็นสำนักงานของโจทก์ เพราะโจทก์ส่งมอบคืนแก่บริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้เช่าไปแล้ว การปิดหมายจึงไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 8 และจำเลยที่ 2 ทำการประเมินภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2513 ถึงพ.ศ. 2516 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5
โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาว่าการที่เจ้าพนักงานนำหมายเรียกไปปิดไว้ยังปั๊มน้ำมันเลขที่ 586/1 อันเป็นสถานที่ซึ่งโจทก์เคยประกอบการค้าเป็นการถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจำเลยฎีกาว่าแม้โจทก์จะเลิกกิจการค้าแต่โจทก์ก็มิได้แจ้งย้ายหรือเลิกกิจการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 82 และ 82 ทวิ จึงต้องถือว่าสถานที่ดังกล่าวยังเป็นสำนักงานหรือสถานการค้าของโจทก์อยู่ การปิดหมายจึงชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 8 จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจทำการประเมินตามมาตรา 71(1) ได้โดยชอบนั้นเห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรมาตรา 8 การส่งโดยวิธีปิดหมายนั้นจะต้องปิดไว้ที่ประตูบ้านหรือสำนักงานของผู้รับ เช่นนี้ เมื่อโจทก์เป็นนิติบุคคลโดยจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดการปิดหมายเรียกจึงต้องปิด ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานซึ่งได้แก่สำนักงานแห่งใหญ่หรือที่ตั้งทำการ สำหรับคดีนี้ สำนักงานของโจทก์คือสถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันเลขที่ 586/1 เมื่อโจทก์จะหยุดประกอบกิจการค้าก็ต้องส่งมอบสถานที่ให้แก่บริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัดและจะต้องมีหลักฐานแจ้งการเลิกกิจการหรือย้ายสำนักงานที่ประกอบการค้านั้น ต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทและกรมสรรพากร ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานได้นำหมายเรียกไปส่งยังสถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันเลขที่ 586/1 ซึ่งโจทก์เคยประกอบการค้าอยู่ แต่ไม่มีผู้รับ จึงได้ทำการปิดหมายเรียกไว้ ณ ที่นั้น เมื่อไม่มีหลักฐานแสดงว่าได้แจ้งเลิกกิจการค้าหรือย้ายสำนักงานที่ประกอบการค้านั้นไปที่อื่น ก็จะถือว่าการส่งหมายเรียกไม่ชอบไม่ได้ การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกซึ่งให้นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีสำหรับปี พ.ศ. 2513 ถึงปี พ.ศ. 2516 มาให้ตรวจสอบตามที่กำหนดไว้ในหมายเรียก เจ้าพนักานประเมินย่อมมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า การประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าเพิ่มเติมสำหรับปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2516 เกี่ยวกับรายรับจากการรับฝากรถ และจากกิจการขนส่งไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า สำหรับประเด็นค่ารับฝากรถ ปรากฏข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของนายสวัสดิ์ ธีระมงคล ผู้ช่วยหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ว่า รายรับจากการรับฝากรถได้แบ่งเป็นค่าสวัสดิการของพนักงานร้อยละสิบ นอกนั้นเป็นรายได้ของโจทก์ ทั้งโจทก์ได้ทำบัญชีรายรับไว้ด้วย แสดงว่ารายรับส่วนใหญ่เป็นของโจทก์ และสถานที่ใช้รับฝากรถก็คือสถานีบริการของโจทก์นั้นเอง ถือได้ว่าการรับฝากรถเป็นการประกอบการค้าประเภทรับฝากทรัพย์ ซึ่งจัดอยู่ในประเภทการค้า 6 คลังสินค้า โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องเสียภาษีการค้าจากรายรับของกิจการประเภทนี้ด้วย สำหรับรายได้เกี่ยวกับค่าขนส่ง ซึ่งโจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้นำรถเข้าร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจมงคล ห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจมงคลได้เสียภาษีการค้าประเภทขนส่งแล้วโจทก์ซึ่งเป็นผู้ได้รับส่วนแบ่งจากผลกำไรที่ได้มาไม่มีหน้าที่จะต้องเสียภาษีการค้าประเภทขนส่งอีก ข้อนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ยังรับฟังไม่ได้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจมงคลได้เสียภาษีการค้าประเภทนี้แทนโจทก์แล้วแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ชอบที่จะต้องเสียภาษีการค้าประเภท 8 การขนส่ง ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 8 แห่งประมวลรัษฎากรอีกส่วนหนึ่งฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แทนโจทก์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยเห็นด้วยกับดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลเป็นพับ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2516 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์