คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 277/2481

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤตติการณ์ที่ไม่ถือว่าเป็นการสละกรรมสิทธิโจทก์เอาสายสร้อย 4 สายมาประดับองค์พระพุทธรูปทองคำโดยมิได้มีเจตนาสละกรรมสิทธิ จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองพระพุทธรูปก็รู้ถึงเจตนาอันนี้ ทั้งมิได้ครอบครองพระพุทธรูปนั้นโดยเจตนาเป็นเจ้าของดังนี้ต้องถือว่าจำเลยปกครองสายสร้อยนี้แทนโจทก์อายุความตาม ม.169 ยังมิเริ่มนับตราบเท่าที่จำเลยยังมิได้เลมิดสิทธิของโจทก์โจทก์ยังเรียกร้องคืนได้

ย่อยาว

โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน บิดาได้สร้างพระพุทธรูปทองคำขึ้นองค์หนึ่งเป็นพุทธสมบัติไว้สำหรับกระทำสักการะบูชา ในขณะที่โจทก์ยังไม่มีสามีและยังคงอยู่กับบิดาโจทก์ได้เอาสายสร้อย ๒ สายเข้าไว้เป็นเครื่องประดับองค์พระพุทธรูป ต่อมาเมื่อโจทก์ไปอยู่กับสามีที่กรุงปารีสได้ส่งเข้ามาอีก ๒ สายรวม ๔ สายด้วยกัน ครั้งบิดาโจทก์จำเลยถึงอสัญญกรรมแล้ว สายสร้อย ๔ สายนี้ก็คงตกอยู่ที่องค์พระพุทธรูปนั้น จำเลยเป็นผู้ครอบครองพระพุทธรูปและสายสร้อยนี้ตลอดมาจนจำเลยถูกเจ้าหนี้ยึดทรัพย์ โจทก์ได้คัดค้านสายสร้อย ๔ สายนี้ เจ้าหนี้ปล่อยการยึด โจทก์จะเอาสายสร้อยนี้ จำเลยไม่ให้ จึงเกิดคดีนี้ขึ้น
จำเลยให้การต่อสู้ว่าสายสร้อย ๔ สายนี้เป็นของจำเลยได้รับมฤดกจากบิดาปกครองมา ๑๕ ปี แล้วแม้เป็นของโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลแพ่ง ฯ ม.๑๖๓,๑๖๔,๑๓๘๒
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าสายสร้อย ๔ สายรายพิพาทเป็นของโจทก์ แม้จำเลยจะได้ครอบครองมาก็เป็นในฐานะปกครองแทน จึงพิพากษาให้โจทก์รับคืนไป
ศาลฎีกาตัดสินว่า สันนิษฐานตามพฤติการณ์แล้วสมควรฟังว่าบิดาโจทก์จำเลยมิได้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ไว้เพื่อเป็นทรัพย์สินส่วนตัว อนึ่งการที่โจทก์นำสายสร้อยมาประดับองค์พระนั้น โจทก์มีเจตนาแค่ไหน คือเจตนาเพียงแต่กระทำสักการะบูชาหรือว่ามีเจตนาสละกรรมสิทธิในทรัพย์นั้น เห็นว่าตามพฤตติการณ์เมื่อโจทก์กลับจากกรุงปารีสแล้วก็กลับมาอยู่บ้านบิดามีส่วนพิทักษ์รักษาและกระทำสักการะบูชาอยู่ด้วยจนบิดาถึงแก่กรรม แสดงว่าโจทก์ยังครอบครองอยู่ ยังหาได้สละการครองครองไม่ สำหรับการครอบครองของจำเลยนั้นจะเห็นได้ว่าจำเลยมิได้แสดงเจตนาครอบครองพระพุทธรูปองค์นี้มาแต่แรกเลย เช่นเมื่อคราวจำเลยเป็นความกับภริยาก็มิได้แสดงไว้ในบัญชีสมรส ทั้งจำเลยก็ได้ทราบความตั้งใจของโจทก์ที่ว่าตราบใดพระพุทธรูปองค์นี้ยังไม่แปรสภาพเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลแล้ว โจทก์จะไม่คิดถอนเอาสายสร้อยกลับมา ถ้าพระพุทธรูปองค์นี้แปรสภาพไปเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลแล้ว โจทก์จะถอนเอาสายสร้อยกลับคืนมา ฉะนั้นจึงเป็นอันฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองทรัพย์รายนี้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตาม ม.๑๓๘๒ ส่วนข้อเถียงเรื่องอายุความตาม ม.๑๖๓,๑๖๔ นั้น จะเห็นได้ว่าโจทก์มิได้มีเจตนาจะสละกรรมสิทธิในสายสร้อยนั้นโดยเด็ดขาด ตาม ม.๑๓๑๙ ตามพฤตติการณ์และเหตุผลต้องถือว่าจำเลยครอบครองสายสร้อยนี้เพื่อโจทก์และแทนโจทก์ตาม ม.๑๓๖๘ เมื่อเช่นนี้จะนานเท่าใดอายุความก็ยังไม่เริ่มนับ เพราะจำเลยยังมิได้เลมิดสิทธิใดตาม ม.๑๖๙ เมื่อบัดนี้จำเลยจะแปรพระพุทธรูปให้เป็นของส่วนตัวเสีย และจะเอาสายสร้อยนี้เสียด้วย โจทก์จึงเรียกคืนได้ไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษายืนตามศาลล่างทั้ง ๒

Share