แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญากู้เงินระยะยาวและสัญญากู้เงินระยะสั้นโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า หนี้ดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ขาดอายุความเพราะเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดอายุความตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/15 นั้น เห็นว่า หนี้ดอกเบี้ยค้างรับที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ หนี้ดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างชำระในระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2541 มีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1) ซึ่งครบกำหนดอายุความตั้งแต่ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2546 เมื่อในคดีก่อนศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2546 เห็นได้ว่าอายุความดอกเบี้ยส่วนหนึ่งครบกำหนดก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และอายุความดอกเบี้ยอีกส่วนหนึ่งครบกำหนดภายใน 6 เดือน นับแต่วันดังกล่าว มีผลให้อายุความดอกเบี้ยค้างรับทั้งหมดยังไม่ครบกำหนดจนกว่าจะพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/15 อายุความดอกเบี้ยค้างรับจึงครบกำหนดในวันที่ 15 สิงหาคม 2547 การที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ ดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญากู้เงินระยะยาวและสัญญากู้เงินระยะสั้นโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ดอกเบี้ยดังกล่าว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2546 และตั้งลูกหนี้เป็นผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2547 ต่อมาศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนโดยมีลูกหนี้เป็นผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 กับมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2549
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในมูลหนี้รวม 17 อันดับ จำนวน 4,021,680,960.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยหลายอัตราของต้นเงิน 1,827,634,323.44 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จจากลูกหนี้ ต่อมาเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้เหลือมูลหนี้รวม 8 อันดับ จำนวนหนี้เป็นต้นเงิน 907,517,070.47 บาท และดอกเบี้ย 1,493,925,403.92 บาท รวมจำนวน 2,401,442,474.39 บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้เจ้าหนี้ ลูกหนี้ และผู้ทำแผนตรวจคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/29 แล้ว ผู้ทำแผนโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้ว่า มูลหนี้อันดับ 5 หนี้ตามสัญญาค้ำประกัน อันดับ 7 หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ และอันดับ 8 หนี้ Standby Letter of Credit เจ้าหนี้คิดต้นเงินและดอกเบี้ยไม่ถูกต้องเพราะลูกหนี้ได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว และดอกเบี้ยค้างชำระถึงวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ขาดอายุความ 5 ปี กับมูลหนี้อันดับ 5 เป็นหนี้ที่ไม่มีประกัน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับ 1 ถึงอันดับ 6 และอันดับ 8 จำนวน 817,308,587.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราขึ้นลงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยของต้นเงิน 108,049,098.27 บาท ต้นเงิน 79,630,500 บาท ต้นเงิน 21,278,277.48 บาท ต้นเงิน 148,510,000 บาท ต้นเงิน 38,659,947.73 บาท และต้นเงิน 50,013,958.56 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จจากลูกหนี้ โดยให้ได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมูลหนี้อันดับ 1 ถึงอันดับ 6 ในที่ดินตามโฉนดเลขที่ 85175 ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และตามมูลหนี้อันดับ 8 ในใบหุ้นสามัญบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 338 จำนวน 2,000,000 หุ้น ราคา 20,000,000 บาท และเลขที่ 339 จำนวน 2,000,000 หุ้น ราคา 20,000,000 บาท รวม 40,000,000 บาท และมีเงื่อนไขในมูลหนี้อันดับ 4 ถึงอันดับ 6 ว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นไปแล้วเพียงใด ให้สิทธิในการรับชำระหนี้จากลูกหนี้ลดลงเพียงนั้น กับในมูลหนี้อันดับ 5 ให้ได้รับชำระหนี้จำนวนไม่เกินวงเงินที่ลูกหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิด 220,000,000 บาท ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกเสีย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/32 (3)
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งกลับหรือแก้คำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับ 5 อันดับ 7 และอันดับ 8 ตามคำร้องดังกล่าว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ลูกหนี้ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้ว อำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินตกเป็นของผู้บริหารของลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนลูกหนี้อีกต่อไป ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
เจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายมีคำพิพากษายกคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ให้ศาลล้มละลายกลางนัดพิจารณาคำร้องของเจ้าหนี้แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลล้มละลายกลางรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เฉพาะมูลหนี้อันดับ 8 ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ต้นเงิน 50,013,958.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เวลาที่ได้รับเงินไว้จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จจากลูกหนี้ โดยให้ได้รับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกัน นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
เจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ดอกเบี้ยค้างชำระของหนี้ Standby Letter of Credit เพียงใด และดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญากู้เงินระยะยาวและสัญญากู้เงินระยะสั้นโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความหรือไม่ สำหรับดอกเบี้ยค้างชำระของหนี้ Standby Letter of Credit ที่เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ดอกเบี้ยของหนี้ส่วนนี้เป็นเงิน 32,511,620.39 บาท เจ้าหนี้เห็นพ้องด้วยและไม่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าว การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งแก้ไขให้เจ้าหนี้ได้รับชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 50,013,958.56 บาท นับแต่เวลาที่ได้รับเงินไว้จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จจากลูกหนี้ จึงไม่ถูกต้องเพราะเป็นการวินิจฉัยเกินกว่าที่เจ้าหนี้ยื่นคำร้องนั้น เห็นว่า ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยเกี่ยวกับดอกเบี้ยค้างชำระของหนี้ส่วนนี้และมีคำสั่งลดดอกเบี้ยลงโดยมิได้มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงเป็นการทำคำสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำร้องของเจ้าหนี้ อันเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ศาลฎีกาจึงต้องแก้ไขคำสั่งของศาลล้มละลายกลางส่วนดังกล่าวให้ถูกต้อง และให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ดอกเบี้ยค้างชำระของหนี้ Standby Letter of Credit เป็นเงิน 32,511,620.39 บาท และดอกเบี้ยอัตราขึ้นลงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยของต้นเงิน 50,013,958.56 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จจากลูกหนี้ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ส่วนดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญากู้เงินระยะยาวและสัญญากู้เงินระยะสั้นโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า หนี้ดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ขาดอายุความเพราะเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดอายุความตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/15 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่เจ้าหนี้นำสืบและลูกหนี้มิได้นำสืบโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2545 ลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545 ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.221/2545 และมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2546 ตามสำเนาคำร้องขอและสำเนาคำสั่ง ต่อมาเมื่อศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในคดีนี้ เจ้าหนี้จึงยื่นคำขอรับชำระหนี้ดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญากู้เงินระยะยาวตามบัญชีเลขที่ 222 – 30 – 10431 – 7 นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2540 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2541 รวมจำนวน 551,346,392.62 บาท ตามบัญชีหนี้ที่โอนไป บสท. และสำเนาบัญชีเงินกู้ ในสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เห็นว่า หนี้ดอกเบี้ยค้างรับที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างชำระในระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2541 มีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (1) ซึ่งครบกำหนดอายุความตั้งแต่ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2546 เมื่อในคดีก่อนศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2546 เห็นได้ว่าอายุความดอกเบี้ยส่วนหนึ่งครบกำหนดก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และอายุความดอกเบี้ยอีกส่วนหนึ่งครบกำหนดภายใน 6 เดือน นับแต่วันดังกล่าว มีผลให้อายุความดอกเบี้ยค้างรับทั้งหมดยังไม่ครบกำหนดจนกว่าจะพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/15 อายุความดอกเบี้ยค้างรับจึงครบกำหนดในวันที่ 15 สิงหาคม 2547 การที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ ดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญากู้เงินระยะยาวและสัญญากู้เงินระยะสั้นโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ดอกเบี้ยดังกล่าวจำนวน 551,346,392.62 บาท ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับ 7 หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้จำนวน 932,615,965.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราขึ้นลงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยของต้นเงิน 443,593,561.64 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จจากลูกหนี้ ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในหุ้นตามใบหุ้นที่ลูกหนี้จำนำแก่เจ้าหนี้ มูลหนี้อันดับ 8 ดอกเบี้ยค้างชำระของหนี้ Standby Letter of Credit จำนวน 32,511,620.39 บาท และดอกเบี้ยของหนี้ดังกล่าวอัตราขึ้นลงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยของต้นเงิน 50,013,958.56 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จจากลูกหนี้กับดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญากู้เงินระยะยาวและสัญญากู้เงินระยะสั้นโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 551,346,392.62 บาท ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในหุ้น ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดหลักประกันของลูกหนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ