คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 518/4อาคารสิริณี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวันกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในเขตศาลแพ่งและเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งก็ระบุภูมิลำเนาของจำเลยที่เดียวกันกับที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ดังนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงไว้ก่อนว่าภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1อยู่ในเขตศาลแพ่ง โจทก์ชอบที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งได้ตามนัยแห่งป.วิ.พ. มาตรา 4(2).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์บรรยายฟ้องถึงภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ไว้แจ้งชัดแล้วว่า จำเลยที่ 1 อยู่บ้านเลขที่ 518/4 อาคารสิริณี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตศาลแพ่ง ทั้งตามฟ้องของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4603/2528 ก็ได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ไว้ว่า จำเลยที่ 1 อยู่บ้านเลขที่ 518/4อาคารสิริณี ถนนเพลินจิต แขวลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครเช่นเดียวกัน ในชั้นนี้จึงฟังข้อเท็จจริงไว้ก่อนว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งตามที่โจทก์บรรยายฟ้องชอบที่จะต้องรับฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1ไว้พิจารณาต่อไป.

Share