คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาในระหว่างสอบสวนกับโจทก์ ถ้าผิดสัญญาโดยส่งตัวผู้ต้องหาไม่ได้ ยอมใช้เงินแก่โจทก์จำนวนหนึ่ง ต่อมาจำเลยส่งตัวผู้ต้องหาไม่ได้ โจทก์ถือว่าจำเลยผิดสัญญาสั่งปรับตามสัญญา ถึงแม้ต่อมาจะมีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมผู้ต้องหาพ้นความรับผิดโดยสิ้นเชิง และพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้วก็ตาม ก็ย่อมไม่กระทบถึงสัญญาประกันระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นความรับผิดส่วนแพ่ง สัญญาประกันย่อมมีผลใช้บังคับไม่ถือว่าเป็นการชำระหนี้ที่พ้นวิสัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญาประกันผู้ต้องหา โดยจำเลยที่ 2มอบโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 1 นำมาเป็นหลักประกัน จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ประกันทั้งในนามตนเองและในนามจำเลยที่ 2 สัญญาว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาแก่โจทก์ตามเวลาที่โจทก์กำหนดถ้าผิดนัดยอมใช้เงินให้โจทก์ 30,000 บาท จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามวันที่โจทก์กำหนดโดยขอผัดส่งตัวหลายครั้งก็ส่งตัวไม่ได้ โจทก์สั่งปรับจำเลยตามสัญญา จำเลยไม่นำเงินค่าปรับมาชำระให้ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 30,000 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิด

ก่อนเริ่มต้นสืบพยานจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ฝ่ายโจทก์แถลงรับว่าได้มีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พ.ศ. 2521 ออกใช้บังคับเป็นผลให้การกระทำของผู้ต้องหาพ้นความรับผิดโดยสิ้นเชิง และพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาแล้ว แต่สั่งไม่ฟ้องโดยอาศัยเหตุอะไรไม่อาจยืนยันได้ ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรูปคดีโดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาได้ความว่า เมื่อวันที่ 8ตุลาคม 2519 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์ขอปล่อยตัวนางสาวปัจฉิมาภรณ์โชติโสภณ ผู้ต้องหาชั่วคราว (คดี 6 ตุลาคม 2519) ถ้าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาส่งตัวผู้ต้องหาไม่ได้ยอมใช้เงินแก่โจทก์ 30,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ส่งตัวผู้ต้องหาไม่ได้ ครั้งสุดท้ายนัดส่งตัววันที่ 30 พฤศจิกายน 2519 จำเลยที่ 1 ก็ส่งตัวไม่ได้โจทก์ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาปรับเป็นเงิน 30,000 บาท จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระเงินแก่โจทก์ ต่อมามีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 – 6 ตุลาคม 2519พุทธศักราช 2521 ออกใช้บังคับ เป็นผลให้ผู้กระทำผิดดังกล่าวพ้นความรับผิดโดยสิ้นเชิง สำหรับนางสาวปัจฉิมาภรณ์พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้วเห็นว่ากรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องไม่ว่าจะเป็นเพราะนางสาวปัจฉิมาภรณ์ได้รับผลจากพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมหรือไม่ก็ตาม ย่อมไม่กระทบถึงสัญญาประกันระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นความรับผิดในส่วนแพ่ง สัญญาประกันย่อมมีผลใช้บังคับไม่เป็นการชำระหนี้ที่พ้นวิสัยดังจำเลยฎีกา และที่นางสาวปัจฉิมาภรณ์ต้องหาว่ากระทำผิดภายในเขตอำนาจของโจทก์ โจทก์ก็มีอำนาจสอบสวนควบคุมตัวและมีอำนาจปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันได้ แม้ต่อมาจะมีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมออกมาใช้บังคับอันเป็นผลให้นางสาวปัจฉิมาภรณ์พ้นความรับผิดโดยสิ้นเชิงพระราชบัญญัติดังกล่าวก็นิรโทษกรรมให้เฉพาะความผิดทางอาญาเท่านั้น ไม่มีบัญญัติถึงความรับผิดในส่วนแพ่งเลย เมื่อจำเลยผิดสัญญาส่งตัวนางสาวปัจฉิมาภรณ์ไม่ได้ก่อนที่พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมออกใช้บังคับ โจทก์ก็ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาได้

พิพากษายืน

Share