คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2761-2764/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าประทานบัตรทำเหมืองแร่ที่โจทก์และจำเลยที่ 1ได้ทำกันไว้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2509 สรุปความได้ว่าที่ดินตามสัญญาที่ได้รับประทานบัตรแล้ว จำเลยที่ 1คงเป็นผู้ถือประทานบัตรอยู่ ที่ดินที่ยังไม่ได้รับประทานบัตรเป็นหน้าที่จำเลยที่ 1 จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้ได้ประทานบัตรแต่เงินค่าธรรมเนียมต่างๆที่จะต้องเสีย โจทก์เป็นคนออก และโจทก์เป็นผู้ทำเหมืองแร่ในที่ดินที่ได้ประทานบัตรแล้ว จำเลยที่ 1จะได้รับผลประโยชน์ซึ่งเรียกว่าค่าเช่าร้อยละสามของแร่ที่ทำได้สัญญามีผลบังคับตลอดไปจนกว่าโจทก์จะขุดแร่หมดเนื้อที่ข้อสัญญาดังนี้ ไม่ใช่การโอนประทานบัตรตามความในมาตรา 45แห่งพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ.2461 เพราะจำเลยที่ 1ยังเป็นผู้ถือประทานบัตร มีนิติสัมพันธ์กับทางราชการอยู่ โจทก์เป็นเพียงผู้เข้าทำเหมืองแร่โดยอาศัยประทานบัตรของจำเลยที่ 1 เท่านั้นหากแต่เป็นการรับช่วงเข้ามาทำเหมือง ซึ่งไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญากัน แต่พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ.2461 นี้ ต่อมาได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510ซึ่งมีมาตรา 76 และ 77 บัญญัติห้ามผู้ถือประทานบัตรยอมให้ผู้อื่นรับช่วงการทำเหมืองเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายและให้ผู้ถือประทานบัตรยื่นคำขอต่อทรัพยากรธรณีประจำท้องที่และให้รัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมาย เป็นผู้ออกใบอนุญาตให้มีการรับช่วงการทำเหมืองได้ตามที่จะพิจารณาเห็นสมควร บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว มิได้ห้ามการรับช่วงทำเหมืองโดยเด็ดขาดหากรัฐมนตรีอนุญาต ก็ย่อมรับช่วงการทำเหมืองได้ ดังนั้นการชำระหนี้ตามสัญญารายนี้ จึงไม่เป็นการพ้นวิสัย(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่)
จำเลยที่ 2 ได้ถือสิทธิครอบครองที่พิพาทมาก่อนจำเลยที่ 1จะได้ประทานบัตร จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิหาแร่ในที่พิพาทเว้นแต่ จะได้ทำความตกลงกับจำเลยที่ 2 เสียก่อนตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ.2461 มาตรา 74แม้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จะได้ทำข้อตกลงกันไว้ตามเอกสาร ล.1 แต่ก็ยังมิได้กำหนดและชดใช้ราคาทรัพย์สินในที่พิพาทกัน จำเลยที่ 1 ยังฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ไม่ได้โจทก์ผู้รับช่วงการทำเหมืองจากจำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เช่นเดียวกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบที่ดินตามสัญญาเช่าทำเหมืองความประสงค์ของโจทก์ก็คือ ให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการใดๆ เพื่อให้โจทก์ได้เข้าทำเหมืองแร่นั่นเอง ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นการตรงตามคำขอของโจทก์อยู่แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ มีข้อความทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ที่ตำบลนาสาร อำเภอนาสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวม ๗ แปลง เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๑ได้ตกลงให้โจทก์เช่าที่ดินทั้งหมดที่จำเลยยื่นขอประทานบัตรไว้เพื่อให้โจทก์ได้เข้าทำเหมืองแร่ ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าประทานบัตรท้ายฟ้องต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้รับประทานบัตร ๒ ฉบับ ที่ดินตามประทานบัตรทั้งสองฉบับนี้ บริษัทไซมีสตินจำกัดเคยได้รับประทานบัตรมาก่อน แต่หมดอายุแล้วจำเลยที่ ๒ แต่ละสำนวนเดิมเป็นคนงานของบริษัทไซมีสติน จำกัดได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินนี้บางส่วน โดยอาศัยสิทธิตามประทานบัตรของบริษัทไซมีสติน จำกัด ในฐานะคนงาน ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายนพ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์ได้ครอบครองที่ดินตามประทานบัตร และได้นำเครื่องจักรและเครื่องมือเข้าไปไว้เพื่อทำเหมืองแร่ จำเลยที่ ๒ ทุกสำนวนไม่ยอมออกจากที่ดินและกีดขวางต่อการที่โจทก์จะเข้าไปทำเหมืองแร่ ทำให้โจทก์เสียหายจึงขอให้จำเลยที่ ๑ จัดการส่งมอบที่ดินที่เช่าให้โจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ทุกสำนวนและบริวารออกไป ห้ามมิให้เกี่ยวข้องและให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ทุกสำนวนขาดนัด
จำเลยที่ ๒ ทุกสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๒ กับพวกได้ปกครองที่ดินรวมกันเป็นหมู่บ้านมานานแล้ว บริษัทไซมีสติน จำกัดเคยขอประทานบัตรแร่กลวมในที่ดินหมู่บ้านนี้ จำเลยที่ ๒ กับพวกคัดค้านในที่สุดบริษัทไซมีสตินจำกัดยอมตัดที่ดินหมู่บ้านนี้ออกจากเขตประทานบัตรเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ จำเลยที่ ๒ ได้ทราบว่าจำเลยที่ ๑ได้ประทานบัตรแร่กลวมในที่ดินของจำเลยที่ ๒ จึงได้ร่วมกันยื่นคำคัดค้านในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ณ ที่ว่าการอำเภอบ้านนาสารให้จำเลยที่ ๑ เจาะหาแร่ได้แต่ถ้าจะสูบฉีดหาแร่ ต้องทำความตกลงเรื่องราคาพืชผลและเคหสถานให้เรียบร้อยก่อน ปรากฏตามสำเนาสัญญาท้ายคำให้การจำเลยที่ ๒ ทุกคนเว้นนายเลี่ยม ทรงโสภา ยินดีออกจากที่พิพาท ถ้าจำเลยที่ ๑หรือโจทก์ยอมเสียค่าชดใช้ให้ตามสัญญาประนีประนอม และตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มีวัตถุประสงค์โอนประทานบัตร และเป็นการรับช่วงการทำเหมืองแร่ตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๗๗ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและเป็นการพ้นวิสัยจึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ อยู่ในที่พิพาทมาก่อนสัญญาเช่าไม่ใช่คู่สัญญากับ โจทก์โจทก์ไม่มีสิทธินำสัญญามาฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์ทุกสำนวน
โจทก์ทุกสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาเช่าประทานบัตรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ไม่ใช่สัญญาโอนประทานบัตร ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มีผลใช้บังคับได้แม้ต่อมาพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ห้ามผู้ถือประทานบัตรให้ผู้อื่นรับช่วงการทำเหมืองแร่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีก็ตาม ก็หาทำให้สัญญานั้นซึ่งใช้บังคับได้อยู่แล้ว กลับกลายเป็นโมฆะไปไม่ เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถให้โจทก์เข้าทำเหมืองได้ตลอดเนื้อที่ตามสัญญา โจทก์ย่อมบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ทุก สำนวนครอบครองที่พิพาทมาก่อนจำเลยที่ ๑ ได้ประทานบัตร โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าประทานบัตร จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ ๒ พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาเอกสารหมาย จ.๓และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายสำนวน
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทุกสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าประทานบัตรเอกสาร จ.๓ ที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำกันไว้ สรุปความได้ว่า ที่ดินตามสัญญาที่ได้รับประทานบัตรแล้วจำเลยที่ ๑ คงเป็นผู้ถือประทานบัตรอยู่ ที่ดินที่ยังไม่ได้รับประทานบัตร เป็นหน้าที่จำเลยที่ ๑ จะต้องดำเนินการต่อไปเพื่อให้ได้ประทานบัตร การติดต่อกับทางราชการเกี่ยวกับกิจการทำเหมืองแร่ทุกอย่าง เช่น การขอเสียภาษี การขอขายแร่ เป็นหน้าที่จำเลยที่ ๑ แต่เงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะต้องเสีย โจทก์เป็นคนออก และโจทก์เป็นผู้ทำเหมืองแร่ในที่ดินที่ได้ประทานบัตรแล้วจำเลยที่ ๑ ได้รับผลประโยชน์จากโจทก์ซึ่งในสัญญาเรียกว่าค่าเช่าร้อยละสามของแร่ที่ทำได้ สัญญามีผลบังคับตลอดไปจนกว่าโจทก์จะขุดแร่หมดเนื้อที่ ข้อสัญญาดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่ใช่การโอนประทานบัตรตามความในมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่พ.ศ. ๒๔๖๑ เพราะจำเลยที่ ๑ ยังเป็นผู้ถือประทานบัตร มีนิติสัมพันธ์กับทางราชการอยู่ โจทก์เป็นเพียงผู้เข้าทำเหมืองแร่โดยอาศัยประทานบัตรของจำเลยที่ ๑ เท่านั้นหากแต่เป็นการรับช่วงการทำเหมืองซึ่งไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. ๒๔๖๑ อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะโจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากัน แต่พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. ๒๔๖๑ นี้ต่อมาก็ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ จำเลยที่ ๑ จึงฎีกาขึ้นมาว่า สัญญาตามเอกสาร จ.๓ ที่ทำไว้เป็นอันพ้นวิสัยที่จะปฏิบัติได้เพราะพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ห้ามรับช่วงการทำเหมือง ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้บัญญัติถึงการรับช่วงการทำเหมืองไว้ในมาตรา ๗๖ และ ๗๗ เป็นความว่า ห้ามผู้ถือประทานบัตรยอมให้ผู้อื่นรับช่วงการทำเหมือง เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายให้ผู้ถือประทานบัตรยื่นคำขอต่อทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ และให้รัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้มีการรับช่วงการทำเหมืองได้ตามที่จะพิจารณาเห็นสมควร จะเห็นได้ว่ากฎหมายมิได้ห้ามการรับช่วงการทำเหมืองโดยเด็ดขาด หากรัฐมนตรีอนุญาตก็ย่อมรับช่วงการทำเหมืองกันได้ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่จึงมีมติว่าการชำระหนี้รายนี้ไม่เป็นการพ้นวิสัย
ในปัญหาที่ว่าโจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยที่ ๒ ได้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์สืบไม่ได้ว่าบริษัทไซมีสตินเป็นผู้อนุญาตให้จำเลยที่ ๒ เข้าอยู่ในที่พิพาทคดีฟังได้เพียงว่าขณะจำเลยที่ ๒ เข้าอยู่ในที่พิพาทนั้น บริษัทไซมีสตินถือประทานบัตรอยู่ แต่บริษัทไซมีสตินมิได้ทำเหมืองแร่มาถึงที่พิพาท จำเลยที่ ๒จึงอยู่ในที่พิพาทเรื่อยมาจนบริษัทไซมีสตินถอนประทานบัตรไป จำเลยที่ ๒ได้ถือสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาท โดยเข้าปลูกบ้านและทำนาทำสวนมาก่อนจำเลยที่ ๑ จะได้ประทานบัตรแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิหาแร่ในที่พิพาทเว้นแต่จะได้ทำความตกลงกับจำเลยที่ ๒ เสียก่อน ดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. ๒๔๖๑ มาตรา ๗๔ แม้ว่าจำเลยที่ ๑กับจำเลยที่ ๒ จะได้ทำข้อตกลงกันไว้ตามเอกสาร ล.๑ แต่ก็ยังมิได้กำหนดและชดใช้ราคาทรัพย์สินในที่พิพาทกัน จำเลยที่ ๑ ยังฟ้องขับไล่จำเลยที่ ๒ไม่ได้ โจทก์ผู้รับช่วงการทำเหมืองจากจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒เช่นเดียวกัน
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบที่ดินให้โจทก์นั้นศาล ฎีกาเห็นว่า ความประสงค์ของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ ๑ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ก็คือ ให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้โจทก์ได้เข้าทำเหมืองนั่นเอง ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาเอกสาร จ.๓ ซึ่งจำเลยที่ ๑ อาจไปชดใช้ราคาทรัพย์สินให้จำเลยที่ ๒ตามที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้แล้ว ก็อาจบังคับกันได้เป็นการตรงตามคำขอของโจทก์อยู่แล้ว
พิพากษายืน

Share