คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยฟ้องหาว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดี และนับวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยคงครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนนั้น จำเลยเข้าครอบครองโดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิแห่งการครอบครองดังกล่าวมายันโจทก์หาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 1 ปีโจทก์หาหมดสิทธิฟ้องร้องไม่
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวยอมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้นเมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงหนึ่งจำเลยได้ฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องโจทก์ต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาแต่ฝ่ายเดียวศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยทราบคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วไม่ยอมออกจากที่พิพาททำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์อันควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์(จำเลยคดีนั้น) มิได้ฟ้องแย้งเรียกคืนการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง จึงขาดอายุความฟ้องร้อง ฟ้องโจทก์กล่าวชัดว่าจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมาฝ่ายเดียว โจทก์มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองเกิน 1 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ค่าเสียหายเกินสมควร และขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 7,500 บาทแก่โจทก์กับต่อไปปีละ1,500 บาททุกปี ตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องค่าเสียหายเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าผลประโยชน์ปี 2513 แก่โจทก์ 1,500 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายในปี 2514 และปีต่อ ๆ ไปในอัตราปีละ 1,500 บาทแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยได้พิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาทนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยจำเลยฟ้องหาว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีและนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาโจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย

ปัญหามีว่า ที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แล้ว โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องคดีนี้หรือไม่เห็นว่าการที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนนั้นจำเลยเข้าครอบครองโดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ซึ่งมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิแห่งการครอบครองดังกล่าวมายันโจทก์หาได้ไม่ ส่วนการที่จำเลยครอบครอบที่พิพาทตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2514 อันเป็นวันที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เป็นต้นมาจนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2514 อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 1 ปี โจทก์หาหมดสิทธิฟ้องร้องไม่

ที่จำเลยฎีกาว่าในคดีก่อนศาลฎีกายังไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยเข้าแย่งการครอบครองเมื่อใด และโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกคืนการครอบครองได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ในคดีก่อน ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วว่า โจทก์และนายธูปสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครองจึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท ดังนี้ ในคดีนี้จำเลยจะเถียงว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

สำหรับเรื่องค่าเสียหายเห็นว่า การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทระหว่างคดีนั้น เมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท และคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้ แต่โจทก์เรียกค่าเสียหายตั้งแต่ปี 2510 ตลอดมาถึงวันฟ้อง (18 พฤศจิกายน 2514) ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปีย่อมขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 โจทก์คงเรียกได้แต่ปี 2513 และปีต่อ ๆ ไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้น ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share