แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยพาผู้เสียหายที่2ไปในที่ต่างๆโดยผู้เสียหายที่1ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายที่2ไม่ทราบว่าผู้เสียหายที่2ไปไหนเป็นเวลาหลายชั่วโมงย่อมเป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายที่1แม้ผู้เสียหายที่2จะสมัครใจไปด้วยและจำเลยมิได้กระทำชำเราผู้เสียหายที่2ก็เป็นการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาผู้ปกครองโดยปราศจากเหตุอันสมควร
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยสำนวนแรกโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยบังคับขู่เข็ญและฉุดกระชากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งมีอายุ 14 ปีพาผู้เสียหายที่ 2ไปเสียจากความปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 1 มารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรและเพื่อการอนาจารทั้งเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้เสียหายที่ 2 ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 อายุ 14 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลย จนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง โดยผู้เสียหายที่ 2ไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เหตุเกิดที่ตำบลสามผง ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม และอำเภอนาหว้าจังหวัดนครพนม เกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 310, 317, 91
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 2 คนร่วมกันมีมีดจำนวน 1 เล่น เป็นอาวุธบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านพักอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาตแล้วจำเลยใช้มีดจี้ประทุษร้ายผู้เสียหายและกระชากลากตัวผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย และผู้เสียหายที่ 2เกิดความกลัวจึงยอมไปกับจำเลย เหตุเกิดที่ตำบลสามผงอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ในวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานได้ยึดมีดซึ่งจำเลยใช้ในการกระทำความผิดไว้เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 309, 310, 362,364, 365 ริบมีดของกลางและนับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยคดีอาญาหมายเลขดำที่ 804/2535 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฎิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก จำคุก 4 ปี มาตรา 317 วรรคท้าย จำคุก 5 ปีมาตรา 365 จำคุก 1 ปี มาตรา 309 วรรคสอง, 310 วรรคแรก ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปีเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก12 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างนับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี มีดของกลางศาลสั่งริบในคดีอื่นแล้วจึงไม่ริบอีกและที่โจทก์ขอให้นับโทษของจำเลยในสำนวนที่สองต่อจากโทษในสำนวนคดีแรกนั้น เมื่อศาลพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนรวมกันแล้วจึงให้ยกคำขอโจทก์ในส่วนนี้ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 อายุ 14 ปี อยู่ในความปกครองของผู้เสียหายที่ 1 กับนายประหยัด ผู้เสียหายที่ 2 เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนสามผงวิทยาคม จำเลยมีอาชีพขับรถยนต์รับจ้างรู้จักผู้เสียหายที่ 2 และเคยไปมาหาสู่กับผู้เสียหายที่ 2บ่อยครั้ง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2535 เวลาประมาณ 15 นาฬิกาผู้เสียหายที่ 2 เลิกจากโรงเรียนขณะเดินกลับบ้าน พบจำเลยจอดรถยนต์อยู่ที่หน้าวัดโพธิ์ชัย จำเลยได้พาผู้เสียหายที่ 2 ไปในที่ต่าง ๆ จนกระทั่งเวลาประมาณ 22 นาฬิกา พากลับมาที่บ้านจำเลยให้นางหอมหวลมารดาของจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2ไปส่งบ้าน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปดังกล่าว จำเลยได้กระทำชำเรา ผู้เสียหายที่ 2 อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกและมีความผิดฐานพรากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน15 ปี โดยปราศจากเหตุอันสมควรและเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสามหรือไม่ ได้ความเพียงว่ามีตัวอสุจิอยู่แสดงว่าได้ผ่านการร่วมประเวณีมาแล้วประมาณไม่เกิน 2 วัน จึงฟังได้เพียงว่าผู้เสียหายที่ 2 มีการร่วมประเวณีกับผู้ชาย เมื่อผู้เสียหายที่ 2 มิได้มายืนยันว่าถูกจำเลยกระทำชำเราจะสันนิษฐานเอาว่าเป็นการกระทำของจำเลยนั้นยังเป็นกรณีที่สงสัยอยู่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อนี้ให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227วรรคสอง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อนี้ได้
ปัญหาประการต่อไปมีว่า ที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปดังกล่าวจำเลยกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรอันเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้ปกครองหรือไม่ ดังนี้ เห็นว่า การที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปในที่ต่าง ๆ ดังกล่าวโดยบิดามารดาของผู้เสียหายที่ 2ไม่ทราบว่าผู้เสียหายที่ 2 ไปไหนเป็นเวลาหลายชั่วโมง ย่อมเป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้ปกครอง แม้ผู้เสียหายที่ 2 จะสมัครใจไปด้วยดังที่จำเลยเบิกความและจำเลยมิได้กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นการไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาของผู้เสียหายที่ 2แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นการไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาของผู้เสียหายที่ 2 เข้าลักษณะเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้ปกครองโดยปราศจากเหตุอันสมควร เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมประเวณีหรือทำอนาจารเพียงแต่พาไปในงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนและไปรับประทานอาหารที่บ้านของเพื่อนจำเลย จึงไม่มีความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจารคงผิดเฉพาะพรากเด็กไปโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก
ปัญหาประการต่อไปมีว่า ที่จำเลยไปบ้านของผู้เสียหายทั้งสองในวันที่ 9 เมษายน 2535 เวลาประมาณ 20 นาฬิกานั้น จำเลยได้กระทำผิดฐานบุกรุกและมีความผิดต่อเสรีภาพตามฟ้องหรือไม่ ในปัญหานี้รูปคดีมีเหตุผลเชื่อได้ว่า จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 เพื่อฉุดผู้เสียหายที่ 2 พยานหลักฐานของจำเลยในข้อนี้สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ จำเลยไม่มีความผิดฐานบุกรุกและฐานความผิดต่อเสรีภาพตามฟ้อง จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานเดียวคือพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก แต่เนื่องจากหลังเกิดเหตุแล้ว ผู้เสียหายที่ 2 กับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยากันแล้วและผู้เสียหายทั้งสองไม่ติดใจเอาเรื่องกับจำเลยอีกต่อไป ประกอบกับตามความผิดของจำเลยไม่ร้ายแรงนักสมควรที่จะลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยให้จำคุกในอัตราขั้นต่ำของกฎหมายและรอการลงโทษให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อให้หลาบจำ สมควรลงโทษปรับจำเลยด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคแรก ให้จำคุก 3 ปี ปรับ 6,000 บาท ลดโทษให้1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 และ คงจำคุก 2 ปี และปรับ4,000 บาท จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก