แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกองทัพอากาศ และได้รับทุนให้เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยทำสัญญาไว้ว่าจะกลับมารับราชการโดยไม่ลาออกหรือโอนไปรับราชการที่อื่นตามระยะเวลาที่กำหนดนั้น หากปรากฏว่าจำเลยที่ 1 หนีราชการไปก่อนครบกำหนดระยะเวลา และกองทัพอากาศได้ปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการเนื่องจากเหตุดังกล่าว ดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา เพราะคำว่า หนีราชการ เป็นถ้อยคำที่แสดงบ่งชัดให้เห็นอยู่ในตัวแล้วว่ามีเจตนาที่จะไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ จึงจะอ้างว่ากองทัพอากาศปลดจำเลยที่ 1 ออกเอง อันไม่เป็นการผิดสัญญาหาได้ไม่
เงินเดือนที่จำเลยที่ 1 ได้รับในระหว่างไปศึกษาต่างประเทศนั้น อยู่ในความหมายของคำว่า เงินรายเดือนที่ทางราชการได้จ่ายให้เนื่องในการเดินทางและศึกษา ตามข้อสัญญาที่จำเลยที่ 1 ทำให้ไว้แก่โจทก์และยอมชดใช้ในกรณีผิดสัญญา จึงนำเงินเดือนมารวมคำนวณคิดเป็นค่าปรับได้
การที่จำเลยที่ 1 ได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ 2 ครั้งในระหว่างที่ปฏิบัติราชการชดใช้ทุนการศึกษาของโรงเรียนจ่าอากาศยังไม่ครบกำหนดระยะเวลา โดยมีข้อสัญญาว่าจะยอมปฏิบัติราชการชดใช้ทุนที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศต่อจากสัญญาฉบับอื่นนั้น จำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติราชการชดใช้ทุนการศึกษาของโรงเรียนจ่าอากาศก่อน จากนั้นจึงนับระยะเวลาการปฏิบัติราชการเพื่อชดใช้ทุนในการไปศึกษาต่อต่างประเทศครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ต่อจากระยะเวลาที่ครบกำหนดการปฏิบัติราชการชดใช้ทุนการศึกษาของโรงเรียนจ่าอากาศตามลำดับ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในหนี้คนละจำนวน จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงควรรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมตามส่วนที่ตนต้องรับผิดตามฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการในสังกัดกองทัพอากาศ และจำเลยที่ ๑ ได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ๒ ครั้ง โดยได้ทำสัญญาของผู้รับทุนโดยได้รับเงินเดือนเต็มให้ไว้แก่โจทก์ว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะกลับเข้าอยู่รับราชการในกองทัพอากาศเป็นเวลา ๒ เท่า ของเวลาที่เดินทางไปศึกษาทั้งหมด แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๓ ปี หรือไม่เกิน ๑๐ ปี หากผิดสัญญาจะยอมชดใช้เงินเป็น ๓ เท่าของเงินเดือนและค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ทางราชการได้จ่ายให้เนื่องจากการเดินทางและศึกษา ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วกลับมารับราชการใช้ทุนการศึกษาดังกล่าวยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาก็หนีราชการไป เป็นความผิดสัญญา ขอบังคับให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชดใช้เงิน ๖๓,๔๗๒.๕๙ บาท จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๑๖๕,๔๙๐.๓๘ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ลาออกหรือโอนไปทำงานที่อื่น เหตุที่จำเลยที่ ๑ รับราชการไม่ครบตามสัญญา เกิดจากความผิดของโจทก์เองที่ไล่จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการเสียก่อน และโจทก์เรียกร้องค่าปรับสูงเกินความเสียหายที่แท้จริง
ระหว่างสืบพยานโจทก์ คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นที่ตกลงรับกัน และแถลงไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า มีการทำสัญญาผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามไว้ตามฟ้อง ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า การที่จำเลยที่ ๑ ถูกกองทัพอากาศให้ออกจากราชการเนื่องจากหนีราชการ เป็นการผิดสัญญาไม่ทำงานชดใช้ทุนให้กองทัพอากาศตามสัญญาเดินทางไปดูงานหรือศึกษาในต่างประเทศหรือไม่ ตามสัญญาซึ่งจำเลยที่ ๑ ทำให้ไว้แก่กระทรวงกลาโหมความว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้ศึกษาครบตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนดไว้ และเมื่อกระทรวงกลาโหมเรียกจำเลยที่ ๑ กลับเข้ารับราชการแล้วจำเลยที่ ๑ สัญญาว่าจะอยู่รับราชการในกระทรวงกลาโหมเป็นเวลา ๒ เท่าของเวลาที่ได้เดินทางไปศึกษาทั้งหมด แต่ไม่น้อยกว่า ๓ ปี เป็นอย่างน้อย หรือครบ ๑๐ ปี เป็นอย่างมาก นับแต่กลับมารับราชการในกระทรวงกลาโหม หรือในกรณีที่ยังรับราชการชดใช้ตามสัญญาฉบับอื่นที่ทำไว้กับทางราชการอยู่ก่อนแล้วยังไม่ครบกำหนด ให้นับต่อจากวันครบกำหนดตามสัญญาฉบับนั้น ๆ เป็นต้นไป ภายในเวลาที่กล่าว โดยจำเลยที่ ๑ จะไม่ลาออกหรือโอนไปทำงานที่อื่นนั้น มีความหมายอยู่ว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องอยู่รับราชการและปฏิบัติหน้าที่ชดใช้ทุนให้แก่กองทัพอากาศตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ หนีราชการ ซึ่งคำว่า หนีราชการเป็นถ้อยคำที่แสดงบ่งชัดให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาที่จะไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้แก่กองทัพอากาศ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา และการที่กองทัพอากาศให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการก็เป็นผงเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ หนีราชการ จำเลยที่ ๑ จึงจะอ้างว่ากองทัพอากาศปลดจำเลยที่ ๑ ออกเอง อันไม่เป็นการผิดสัญญาหาได้ไม่
ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า การที่โจทก์นำเงินเดือนที่จำเลยที่ ๑ ได้รับในระหว่างทุนไปศึกษาต่างประเทศมารวมคิดเป็นค่าปรับตามสัญญาเป็นการไม่ชอบนั้น ตามสัญญาข้อ ๖ ระบุไว้มีใจความว่า ถ้าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติผิดสัญญาข้อ ๔ จำเลยที่ ๑ ยอมใช้เงินเป็น ๓ เท่าของเงินเดือนและค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ทางราชการได้จ่ายให้เนื่องในการเดินทางและศึกษาของจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ครบถ้วนทันทีเมื่อได้รับการทวงถาม จึงเป็นว่า การที่โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ไปศึกษาต่างประเทศโดยได้รับเงินเดือนนั้นก็โดยมีเจตนาที่จะให้จำเลยที่ ๑ นำความรู้กลับมาปฏิบัติราชการให้โจทก์ ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ไปศึกษาต่างประเทศโดยมิได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้แก่โจทก์ตามหน้าที่ที่ต้องกระทำ โจทก์ก็ยังจ่ายเงินเดือนประจำเดือนให้จำเลยที่ ๑ เช่นนี้ ถือได้ว่าเงินเดือนที่โจทก์จ่ายให้จำเลยที่ ๑ ในระหว่างไปศึกษาต่างประเทศเป็นเงินรายเดือนที่จ่ายให้เนื่องในการเดินทางและศึกษาตามความหมายในสัญญาข้อ ๖ ดังกล่าว จึงต้องนำเงินเดือนที่จำเลยที่ ๑ รับไปในระยะเวลาที่ไปศึกษาต่างประเทศทั้ง ๒ ครั้งมารวมในการคำนวณค่าปรับด้วย
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาข้อต่อไปว่า จะเริ่มนับระยะเวลาในการที่จะนำมาคำนวณคิดค่าปรับได้ตั้งแต่เมื่อใดนั้น ระเบียบกองทัพอากาศว่าด้วยนักเรียนจ่าอากาศ พ.ศ. ๒๕๐๐ มีว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนจ่าอากาศแล้วจะต้องรับราชการชดใช้ให้โจทก์เป็นเวลา ๖ ปี และจำเลยที่ ๑ ได้เซ็นให้ความยินยอมในเรื่องนี้ให้กับโจทก์ไว้แล้วเมื่อเข้าเป็นนักเรียนจ่าอากาศ จึงฟังว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เกิดความผูกพันต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนี้ และได้ความต่อไปอีกว่าในตอนที่จำเลยที่ ๑ ไปศึกษาที่ต่างประเทศครั้งแรก ยังปฏิบัติราชการชดใช้ทุนการศึกษาโรงเรียนจ่าอากาศไม่ครบ ๖ ปี ทั้งปรากฏตามสัญญาไปศึกษาต่อต่างประเทศว่า จำเลยที่ ๑ ยอมปฏิบัติราชการชดใช้ทุนที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศต่อจากสัญญาฉบับอื่น คือสัญญาปฏิบัติราชการชดใช้ทุนตอนเรียนในโรงเรียนจ่าอากาศนั่นเอง ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ กลับมาจากการไปศึกษาต่างประเทศครั้งแรก ก็ต้องปฏิบัติราชการชดใช้ทุนเดิมที่ยังไม่ครบ ๖ ปีก่อน จากนั้นจึงนับระยะเวลาการปฏิบัติราชการเพื่อชดใช้ทุนในการไปศึกษาต่างประเทศครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ต่อจากระยะ ๖ ปีตามลำดับ การนับระยะเวลาในการคำนวณค่าปรับจึงถูกต้องแล้ว จำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ดังฟ้อง
สำหรับที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมนั้นปรากฏว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับผิดในหนี้คนละจำนวน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงควรรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมตามส่วนที่ตนต้องรับผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน