คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ ส.แต่ได้ทำพินัยกรรมขายเพียงเพื่อให้ ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้น นิติกรรมขายระหว่างโจทก์และ ส.จึงเป็นการแสดงเจตนาลวง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส.ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอน จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่ 2 ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมา เพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2533 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 15 กรกฎาคม2534 จึงเป็นการฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยที่ 2 แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1993 เมื่อประมาณกลางปี 2526นางสมจิตรพี่สาวบุตรเขยโจทก์ได้ขอยืม น.ส.3 ก. ดังกล่าวจากโจทก์เพื่อนำไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้แก่ธนาคาร โดยขอให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่นางสมจิตร โดยนางสมจิตรจะนำเงินที่กู้ได้ครึ่งหนึ่งมาแบ่งให้โจทก์กู้ยืมด้วย ขณะนั้นโจทก์ก็กำลังต้องการใช้เงินจึงตกลง เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน2526 โจทก์ก็ได้จดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้นางสมจิตรในราคา 60,000 บาท แต่ไม่มีการชำระราคาซื้อขายกันจริง จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสมจิตรได้ร่วมรู้เห็นอยู่ด้วย ต่อมานางสมจิตรได้ประสบอุบัติเหตุถึงแก่กรรมโจทก์ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยที่ 1 จัดการคืน น.ส. 3 ก. ดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ทราบความจริงว่า นางสมจิตรและจำเลยที่ 1 ได้มอบ น.ส.3 ก. ให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นประกันหนี้เงินกู้ จำเลยที่ 1 รับจะนำ น.ส. 3 ก. มาคืนโจทก์และได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2530จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 1 ก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิที่จะทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวได้ จำเลยที่ 2 ก็รู้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีมีสิทธิจะทำเช่นนั้น สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่าที่ดิน น.ส. 3 ก.เลขที่ 1993 โจทก์มีสิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของโดยชอบด้วยกฎหมาย และหนังสือสัญญาซื้อขายและรายการสารบาญ จดทะเบียนตามน.ส.3 ก. ดังกล่าวลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2526 และวันที่6 พฤษภาคม 2530 เป็นโมฆะ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกกระทำการโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จำเลยที่ 2 ไม่เคยล่วงรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับนางสมจิตรหรือกับจำเลยที่ 1แต่อย่างใด ขณะที่นางสมจิตรนำที่ดินพิพาทมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 2 ตามหลักฐานทางทะเบียนของที่ดินพิพาทก็ปรากฏชัดแจ้งว่าเป็นของนางสมจิตร เมื่อนางสมจิตรถึงแก่กรรมจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกได้มาติดต่อโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 และชำระหนี้ให้จำเลยที่ 2 ตามสัญญาที่นางสมจิตรทำไว้ จำเลยที่ 2 ได้รับซื้อที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งตามสัญญารับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์ก็มีข้อตกลงว่า จำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ภายในกำหนดเวลา หากไม่โอนคืนจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงิน 200,000 บาท แก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติโจทก์ก็ชอบที่จะให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินตามข้อตกลงดังกล่าวหาอาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมใด ๆ ที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสมจิตร ทำต่อจำเลยที่ 2 ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหลังจากจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินมาแล้วก็ได้เข้าทำการครอบครองตลอดมาโดยให้จำเลยที่ 1 เช่า และต่อมาปี 2533 จำเลยที่ 2 ก็ให้นายทองสุขเช่าทำประโยชน์ตลอดจนถึงปัจจุบันซึ่งโจทก์ก็ทราบดี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมภายใน 1 ปี นับแต่รู้และมิได้ฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งสิทธิครอบครองภายใน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินพิพาท ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1993 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสมจิตรกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 6(ที่ถูกน่าจะเป็น 22) พฤษภาคม 2530 เสีย และให้จำเลยที่ 1ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสมจิตรโอนที่ดินดังกล่าวนี้คืนแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษานี้แทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์มีเจตนาจะโอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้นางสมจิตรโดยเด็ดขาดไม่ได้กระทำโดยมีเจตนาลวง ข้อนี้โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ไว้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ตามที่นางสมจิตร กลิ่นมานะ ภรรยาของข้าพเจ้า ได้มีข้อตกลงกับนายบัณฑิต ขัติยนนท์ ขอนำเอาที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1993 ของนายบัณฑิต ขัติยนนท์เพื่อไปเป็นหลักทรัพย์ในการกู้เงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาสาขาอำเภอโพนทอง เพื่อความสะดวกในการกู้ยืมเงิน จึงให้นายบัณฑิต ขัติยนนท์ โอนที่ดินเป็นชื่อของนางสมจิตร กลิ่นมานะลูกค้าของธนาคาร ข้าพเจ้าทราบดีว่าการโอนที่ดินครั้งนี้เป็นการโอนเพียงเพื่อนำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้น ไม่มีการชำระค่าที่ดินแต่อย่างใด” จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่า เอกสารหมาย จ.8 ไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ ตามข้อความในเอกสารดังกล่าวแสดงชัดว่าโจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้นางสมจิตร แต่ได้ทำพินัยกรรมขายเพียงเพื่อให้นางสมจิตรนำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้น นิติกรรมขายระหว่างโจทก์กับนางสมจิตรจึงเป็นการแสดงเจตนาลวงและจำเลยที่ 1 ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับนางสมจิตร จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทราบถึงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับนางสมจิตรข้อนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2530 แต่มิได้ขวนขวายที่จะเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงน่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้บอกให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้นางสมจิตร จำเลยที่ 2 รับทราบและยอมให้โจทก์ไถ่ถอน ฉะนั้นจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต โจทก์จึงอ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทเมื่อวันที่23 พฤษภาคม 2530 และให้นายทองสุขเช่าเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม2533 โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2534 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้นว่า จำเลยที่ 2 ทราบว่าโจทก์และนางสมจิตรแสดงเจตนาลวงโอนขายที่ดินพิพาทและยอมให้โจทก์ไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจำเลยที่ 2 มิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาท โดยให้นายทองสุขเช่าตลอดมา นายทองสุขเพิ่งไปบอกโจทก์ว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2533 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายทองสุขได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมา เพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เมื่อวันที่21 กันยายน 2533 โจทก์ฟ้องคดีนี้ วันที่ 15 กรกฎาคม 2534จึงเป็นการฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยที่ 2 แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
พิพากษายืน

Share