คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่าจำเลยที่1เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน80-5080สมุทรสาครโดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่1เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1ในฐานะเป็นตัวการแล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่าประการแรกผู้ขับขี่เป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่1และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่1เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1ในฐานะตัวการเพื่อให้จำเลยที่1รับผิดทั้งสองประการจึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา862วรรคสองผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยแต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้นดังนั้นเมื่อส. เป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัยส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อช.บุตรส. ช.จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้นการที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าส.เป็นผู้เอาประกันภัยแต่ตามตารางกรมธรรม์มีชื่อช.ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายอนุชิต คูสกุล เป็นผู้ดำเนินคดีแทน โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน80-5763 ราชบุรี ไว้จากนายสิริ ไตรคุป ต่อมาเมื่อวันที่10 กุมภาพันธ์ 2535 เวลา 4 นาฬิกา ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาคร ซึ่งจำเลยที่ 2เป็นผู้รับประกันภัย ไปในทางการที่จ้างหรือในกิจการของตัวการด้วยความประมาทชนรถยนต์ของนายสิริเสียหาย โจทก์ชำระค่าซ่อมไปแล้วเป็นเงิน 286,332 บาท โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระถึงวันฟ้องจำนวน 21,474 บาท รวมเป็นเงิน 307,806 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 307,806 บาทและชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 286,332 บาทแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ไม่ระบุว่าบุคคลใดเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่เคยใช้หรือตั้งบุคคลใดควบคุมขับรถยนต์คันเกิดเหตุ เหตุที่เกิดขึ้นมิใช่ความประมาทของผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาครค่าเสียหายโจทก์ไม่เกิน 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า หากจะรับผิดต้องรับผิดในวงเงินตามสัญญาประกันภัยไม่เกิน 100,000 บาท นายสิริ ไตรคุป มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัย เหตุคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5763 ราชบุรีแต่ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาคร และมิได้เป็นนายจ้างหรือตัวการของผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ความเสียหายของโจทก์ไม่เกิน30,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียก นายมนัส เชี่ยวชาญสมุทรที่ 1และห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงน้ำแข็งสาย 4 พัฒนา ที่ 2 เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมทั้งสองให้การว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080สมุทรสาคร ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของจำเลยร่วมที่ 2 และความประมาทมิได้เกิดจากผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกิน50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยที่ 2 ยอมรับข้อเท็จจริงกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080สมุทรสาคร ในวงเงินประกันภัยไม่เกิน 100,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 307,806 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 286,332 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ในต้นเงินดังกล่าวส่วนหนึ่งจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 100,000 บาท นับแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ที่ 1 และ จำเลยร่วม ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 และ จำเลยร่วม ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5763 ราชบุรีมีอายุสัญญาประกันภัย 1 ปี นับแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2534 ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2535 ตามคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมายจ.3 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาคร ซึ่งเดิมมีหมายเลขทะเบียน 80-1557นครปฐม ตามกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.5 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์2535 เวลาประมาณ 4 นาฬิกา นายจำนงค์ พันสวัสดิ์ ผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาคร ขับรถยนต์คันดังกล่าวข้ามเกาะแบ่งกึ่งกลางถนนแล้วชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5763 ราชบุรีซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยไว้เสียหาย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5080 สมุทรสาคร โดยเป็นนายจ้างหรือเป็นตัวการได้ใช้จ้างวานให้ผู้ขับขี่ซึ่งเป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1ในฐานะเป็นตัวการ แล้วผู้ขับดังกล่าวได้กระทำละเมิดชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่า ประการแรกผู้ขับซึ่งเป็นทั้งลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และประการที่สองเป็นตัวแทนซึ่งขับรถโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นตัวการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการเพื่อให้จำเลยที่ 1 รับผิดทั้งสองประการจึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมทั้งสองฎีกาข้อต่อมาว่า โจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5763 ราชบุรีไว้จากนายสิริ ไตรคุป แต่โจทก์นำสืบว่า ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากนายชนินทร์ ไตรคุป ตามตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.3 การนำสืบของโจทก์จึงเป็นการนำสืบนอกคำฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 862 วรรคสองระบุว่า คำว่า “ผู้เอาประกันภัย” หมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย” และวรรคท้ายระบุว่า “อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้” แสดงให้เห็นว่า ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยซึ่งระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์อาจเป็นคนละคนกับผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยแต่ความหมายของผู้เอาประกันภัยตามกฎหมายต้องเป็นผู้ที่ส่งเบี้ยประกันภัยเท่านั้น ดังนั้น เมื่อนายสิริเป็นผู้ส่งเบี้ยประกันภัยจึงเป็นผู้เอาประกันภัยส่วนที่ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 ระบุชื่อนายชนินทร์บุตรนายสิริ นายชนินทร์จึงเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ และเมื่อคดีนี้มิได้พิพาทกันเองระหว่างคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 แต่เป็นกรณีที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ไปแล้วโดยรับช่วงสิทธิมาเนื่องจากรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5763 ราชบุรี ซึ่งเอาประกันภัยไว้เกิดวินาศภัยขึ้นการที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า นายสิริเป็นผู้เอาประกันภัยแต่ตามตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.3 มีชื่อนายชนินทร์ ไตรคุปซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบต่างกับคำฟ้อง
พิพากษายืน

Share