คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2740/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่ง ขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินมีโฉนดทั้งสองแปลงของจำเลยที่ถูกโจทก์ในคดีดังกล่าวยึดไว้มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก่อนเจ้าหนี้ เพราะที่ดินทั้งสองแปลงจำเลยจดทะเบียนจำนองไว้เป็นหลักประกันหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีคดีนี้ในวงเงิน 7,000,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 คดีดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้ว โดยศาลฎีกาพิพากษาว่า หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเลิกเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2529 เมื่อโจทก์และจำเลยต่างเป็นคู่ความในคดีแพ่งดังกล่าว คำวินิจฉัยของศาลในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง
การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 นั้น เป็นเพียงให้สิทธิโจทก์ในการได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญอื่น หากมีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้เท่านั้น ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้รับเงินจากการขายทอดตลาดจะนำวงเงินดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนหนี้ทั้งหมด แล้วพิพากษาให้ในส่วนที่คงเหลือ จึงไม่ถูกต้อง เพราะในที่สุดอาจไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์หรือโจทก์อาจบังคับยึดทรัพย์อื่นของจำเลยอย่างเจ้าหนี้สามัญ หรือให้ชำระหนี้ในส่วนที่ยังขาดอยู่จากการบังคับจำนองก็ได้ และการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ก็มิได้หมายความว่าโจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้ซ้ำซ้อนเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จริง เพราะโดยอำนาจแห่งมูลหนี้โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้แต่เฉพาะหนี้ที่มีอยู่โดยสิ้นเชิงเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๓๔,๑๓๖,๙๔๘.๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๕,๔๗๖,๖๐๙.๖๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๔,๐๖๕,๑๒๕.๙๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๕,๔๔๔,๐๔๗.๔๗ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๘) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐๐,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๗,๑๒๙,๔๗๗.๔๑ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี นับแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๗ ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๗ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๒๙ ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ โดยวิธีทบต้นตามประเพณีธนาคารพาณิชย์ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ไม่ทบต้นของยอดหนี้ในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ นับแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙ จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น โดยให้นำหนี้จำนอง ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี นับแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๗ ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๗ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๒๙ ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ โดยวิธีทบต้นตามประเพณีธนาคารพาณิชย์ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ไม่ทบต้นของยอดหนี้ในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ นับแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙ จนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น ตามคำสั่งศาลในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๓๙๖/๒๕๓๐ ของศาลชั้นต้น มาหักออกเสียก่อน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลแต่ละศาลให้รับผิดตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ กำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม ๑๕,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ ๙๓๙๖/๒๕๓๐ ขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๖๗๐ , ๙๖๗๑ ของจำเลยที่ถูกนายชาญวุฒิ โพธิรัตนังกูร โจทก์ในคดีดังกล่าวยึดไว้ มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก่อนเจ้าหนี้อื่น เพราะที่ดินทั้งสองแปลงจำเลยจดทะเบียนจำนองไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีคดีนี้ในวงเงิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๙ คดีดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้ว ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๗ โดยพิพากษาว่า หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเลิกเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ให้โจทก์ในฐานะผู้ร้องในคดีดังกล่าวได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญคนอื่นในต้นเงินไม่เกิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามวงเงินจำนองในยอดหนี้ที่ปรากฏในวันดังกล่าว อันเป็นวันที่สัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากยอดหนี้ดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙ จนกว่าจะชำระเสร็จ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๖๗๗/๒๕๓๖ เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นคดีนี้อีก โดยมิได้ขอบังคับจำนองมาด้วย มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเลิกกันเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๓๑ หรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓๙๖/๒๕๓๐ ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๖๗๐ , ๖๙๗๑ ของจำเลยมาชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งจำเลยได้นำที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมาจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกันนั้น ในคดีดังกล่าวศาลได้วินิจฉัยว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้เลิกกันตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เมื่อโจทก์และจำเลยต่างเป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓๙๖/๒๕๓๐ ของศาลชั้นต้นด้วย คำวินิจฉัยของศาลในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง จึงต้องฟังว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเลิกกันตั้งแต่วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๓๑ นั้น ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นำยอดหนี้ตามวงเงินจำนองมาหักออกจากยอดหนี้ทั้งหมดในคดีนี้เสียก่อน เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๙ นั้น เป็นเพียงให้สิทธิโจทก์ในการได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญอื่น หากมีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้เท่านั้นตราบใดโจทก์ยังไม่ได้รับเงินจากการขายทอดตลาด จะนำวงเงินดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนหนี้ทั้งหมด แล้วพิพากษาให้ในส่วนที่เหลือจึงไม่ถูกต้อง เพราะในที่สุดอาจไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์หรือขายได้ต่ำกว่าวงเงินที่จำนองไว้ หรือโจทก์อาจบังคับยึดทรัพย์อื่นของจำเลยอย่างเจ้าหนี้สามัญหรือให้ชำระหนี้ในส่วนที่ยังขาดอยู่จากการบังคับจำนองก็ได้ และการที่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จำนอง มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ก็มิได้หมายความว่าโจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้ซ้ำซ้อนเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จริง เพราะโดยอำนาจแห่งมูลหนี้ โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้แต่เฉพาะหนี้ที่มีอยู่โดยสิ้นเชิงเท่านั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยไม่ต้องนำหนี้จำนองมาหักออกเสียก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share