คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2732/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอยืมรถยนต์ของโจทก์ไปใช้และเกิดความเสียหาย โดยจำเลยที่ 2และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดามิได้รู้เห็นด้วยและโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ยืมโดยมิได้บอกกล่าวจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีโอกาสทักท้วงโจทก์และห้ามปรามจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาจะใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 1 ตามสมควรแก่หน้าที่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบุตรผู้เยาว์ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ได้ยืมรถยนต์ของโจทก์ไปขับขี่ แล้วขับขี่ชนเสาไฟฟ้าเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ ขับขี่รถยนต์ของโจทก์ไปชนเสาไฟฟ้าเพราะเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นบิดามารดาได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลแล้ว จึงไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดและให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ส่วนจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นบิดามารดาได้ควบคุมดูแลจำเลยที่ ๑ ตามสมควรแก่หน้าที่แล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ ไว้ว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะจำเลยที่ ๑ มาขอยืนรถโจทก์ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้มาด้วย จำเลยที่ ๑ ไม่มีหนังสือขอยืมมาจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โจทก์ซึ่งเป็นญาติกับจำเลยทั้งสามก็มิได้สอบถามไปยังจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทั้ง ๆ ที่ทราบว่ามีโทรศัพท์อยู่ สามารถติดต่อกันได้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ได้รู้เห็นการที่จำเลยที่ ๑ ไปยืมรถยนต์ของโจทก์ การที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ ยืมรถยนต์ของโจทก์ไปโดยที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้มีโอกาสทักท้วงโจทก์และห้ามปรามจำเลยที่ ๑ จึงถือว่าเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นบิดามารดาจะได้ใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ ๑ ตามสมควรแก่หน้าที่ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓

Share