แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่งหัวหน้าเสมียนคดี มีหน้าที่เก็บรักษาของกลาง จำเลยตรวจรับกัญชาของกลางและลงลายมือชื่อในสำเนาบัญชีของกลางกับสำเนาหนังสือนำส่งของกลางของสถานีตำรวจภูธรอำเภอ ทับสะแก แต่ไม่ลงบัญชีของกลางในคดีอาญาของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการรับกัญชาของกลางรายนี้แล้ว ต่อมาจำเลยเบียดบังเอากัญชานั้นเป็นของตนหรือผู้อื่นโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147
การที่จำเลยตรวจรับกัญชาของกลางไว้แล้วไม่นำลงบัญชีของกลางในคดีอาญา ก็โดยเจตนาที่จะเบียดบังเอากัญชานั้นเป็นของตนหรือผู้อื่นโดยทุจริต อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 อีก
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗, ๑๕๗, ๙๑ ที่แก้ไขใหม่
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗, ๑๕๗ เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก ๔ ปีฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์เป็นของตนหรือผู้อื่นโดยทุจริตจำคุก ๘ ปี รวมจำคุก ๑๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ จำคุก ๘ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาซึ่งมีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยตรวจรับกัญชาของกลางไว้แล้วไม่นำลงบัญชีของกลางในคดีอาญา ก็โดยเจตนาที่จะเบียดบังเอากัญชานั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ อีก ถึงแม้การกระทำนั้นจะเข้าหลักเกณฑ์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม มาตรา ๑๕๗ ด้วย การกระทำความผิดของจำเลยก็มิใช่การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.