แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ย่อมเท่ากับฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิด ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังว่าเรื่องนี้โจทก์สืบได้เพียงว่าได้ทราบจากคำบอกเล่าของคนอื่นมาว่าจำเลยเป็นผู้ใช้จำเลยคนอื่นๆ จึงเป็นการชั่งน้ำหนักคำพยานว่าพยานบอกเล่ารับฟังไม่ได้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันจึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันมีอาวุธบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เพื่อแย่งและรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข แล้วทำลายต้นไม้ต่าง ๆ เสียหาย อันเป็นพืชของโจทก์ซึ่งมีอาชีพกสิกรรม โดยจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ เป็นผู้ใช้ จ้าง วาน ยุยง ส่งเสริมขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๓,๓๖๕(๒), ๓๕๘, ๓๕๙(๔), ๘๓, ๘๔, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งเจ็ดได้ร่วมกันยักย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๓และจำเลยทั้งเจ็ดต่างเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินและต้นไม้เป็นของวัดปราสาทเยอร์เหนือ ที่จำเลยที่ ๖ เป็นเจ้าอาวาส จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๒ จำเลยทั้งเจ็ดไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕(๒),๓๕๘, ๓๕๙(๔) คดีโจทก์ไม่มีมูลทุกข้อหา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งเจ็ด คดีโจทก์มีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕(๒), ๓๕๘, ๓๕๙(๔),๘๓, ๘๔, ๙๑
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และจำเลยที่ ๗มีมูล ส่วนจำเลยที่ ๖ นั้น โจทก์สืบได้เพียงว่าได้ทราบจากคำบอกเล่าของคนอื่นมาว่าจำเลยที่ ๖ เป็นผู้ใช้ให้จำเลยอื่น ๆ ถากถางตัดต้นไม้และปลูกกล้วย คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๖ จึงไม่มีมูลพิพากษาแก้เป็นว่าคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และจำเลยที่ ๗ มีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๕(๒), ๘๔ ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องไว้พิจารณานอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟัง แล้วมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และจำเลยที่ ๗ มาให้การแก้ข้อหาภายใน ๑๕ วัน ครบกำหนดโจทก์มิได้นำส่งหมายเรียกให้แก่จำเลยดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔(๒) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ให้จำหน่ายคดีของโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และจำเลยที่ ๗ ออกจากสารบบความ
ต่อมาโจทก์ฎีกาว่า คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และจำเลยที่ ๗ควรมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๙(๔) อีกกระทงหนึ่งส่วนจำเลยที่ ๖ ควรมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕(๒),๓๕๘, ๓๕๙(๔), ๘๓, ๘๔, ๙๑ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะจำเลยที่ ๖ ส่วนจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕และจำเลยที่ ๗ ถือว่าได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้วจึงไม่รับฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๖ ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โดยฟังว่าจำเลยที่ ๖สำคัญผิดในข้อเท็จจริง เท่ากับฟังว่าจำเลยที่ ๖ ไม่มีเจตนาที่จะกระทำผิดซึ่งเป็นข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังว่าเรื่องนี้โจทก์สืบได้เพียงว่าได้ทราบจากคำบอกเล่าของคนอื่นมาว่าจำเลยที่ ๖ เป็นผู้ใช้จำเลยคนอื่น ๆ จึงเป็นการชั่งน้ำหนักคำพยานว่าพยานบอกเล่ารับฟังไม่ได้ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันดังนี้ จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์