แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสองนั้นเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ต้องมีการโต้แย้งไว้ภายหลังมีคำสั่งนั้นแล้ว คู่ความที่โต้แย้งจึงจะยกขึ้นอุทธรณ์คัดค้านได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
การที่โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไม่ครบ ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่เสียเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียให้ครบและโจทก์เสียครบแล้ว ก็รับฟังเอกสารทั้งหมดเป็นพยานได้
ตัวโจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน แต่บุตรโจทก์มาเบิกความในฐานะเป็นพยานโจทก์โดยเป็นผู้รู้เห็นเรื่องราวที่เบิกความเอง ดังนี้ บุตรโจทก์หาใช่เบิกความเป็นพยานแทนตัวโจทก์ไม่ คำของบุตรโจทก์จึงรับฟังเป็นพยานได้ตามกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน
ย่อยาว
คดี 7 สำนวนนี้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์เป็นบุคคลคนเดียวกันฟ้องจำเลยต่างคนกันแต่ละสำนวนว่า นายเกษม ปาหนันสามีโจทก์ได้ปลูกสร้างบ้าน 7 หลังบนที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้จำเลยตามลำดับสำนวนเช่าโดยไม่มีสัญญาเช่า ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2511 นายเกษมถึงแก่กรรม โจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ประมาณเดือนตุลาคม 2511 จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์เป็นรายเดือน โจทก์ออกใบเสร็จรับเงินให้ไว้เป็นหลักฐานแล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไปอีก จึงบอกเลิกการเช่าเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2512 ให้จำเลยออกจากบ้านเช่าไปภายใน 30 วัน จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมออก จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารให้ออกไปจากบ้านเช่า
จำเลยทั้ง 7 สำนวนให้การว่า บ้านที่ฟ้องเป็นของจำเลยปลูกสร้างบนที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่นายเกษมสามีโจทก์เป็นผู้เช่าและให้จำเลยเช่าช่วงเสียค่าเช่าเป็นรายเดือนตลอดมา เมื่อนายเกษมถึงแก่กรรม จำเลยจึงไม่ยอมชำระค่าเช่าประกอบกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้บอกเลิกการเช่าที่ดินที่นายเกษมเช่าแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินแปลงนี้อีก จำเลยได้ขอเช่าที่ดินปลูกบ้านจากสำนักงานทรัพย์สินฯ เรื่องกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา โจทก์ทราบดีแล้วมาฟ้องจึงใช้สิทธิไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่าจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขาดนัดพิจารณา แต่ระหว่างนัดสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า บ้านเป็นของนายเกษม จำเลยเป็นผู้เช่าเมื่อนายเกษมตาย สิทธิต่าง ๆ ย่อมตกทอดมายังโจทก์ซึ่งเป็นทายาท โจทก์เก็บค่าเช่าบ้านไม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาท
จำเลยทั้ง 7 สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 7 สำนวนฎีกาปัญหาหลายประการ
ปัญหาแรกว่า การไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นควรสั่งยกคำร้องให้พิจารณาใหม่ จำเลยได้ยื่นคำแถลงคัดค้านการขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ไว้ก่อนแล้วทั้งในรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ก็ได้จดแจ้งคำโต้แย้งของจำเลยไว้แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ จำเลยจึงไม่จำเป็นจะต้องยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นซ้ำอีก ก็มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาคดีใหม่นั้น เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ต้องมีการโต้แย้งไว้ภายหลังมีคำสั่งนั้นแล้ว คู่ความที่โต้แย้งจึงจะยกขึ้นอุทธรณ์คัดค้านได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) ที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่า ศาลชั้นต้นได้จดแจ้งคำโต้แย้งของจำเลยไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาที่มีคำสั่งให้พิจารณาใหม่แล้วนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นเท้าความถึงคำแถลงคัดค้านของจำเลยที่คัดค้านคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่หาใช่เป็นการที่ศาลชั้นต้นจดแจ้งคำโต้แย้งของจำเลย ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ จำเลยจึงอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นไม่ได้
ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารเป็นพยานไม่ครบ ศาลรับฟังเอกสารทั้งหมดของโจทก์เป็นพยานไม่ได้ตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลย แต่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าอ้างเพิ่มก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อโจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไม่ถูกต้องตามกฎหมายมาแต่ต้นแล้วเอกสารทั้งหมดจึงรับฟังไม่ได้ตามกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไม่ครบนั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่เสียให้ครบ การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียให้ครบจึงเป็นการชอบแล้ว เมื่อโจทก์เสียครบแล้วก็รับฟังเอกสารทั้งหมดเป็นพยานได้ตามกฎหมาย
ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ตัวโจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน มีแต่นางสาวนวลจันทร์ ปาหนันบุตรโจทก์มาเบิกความเป็นพยานแทนโจทก์โดยมิใช่เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้เป็นผู้ฟ้องคดี จึงรับฟังคำของนางสาวนวลจันทร์ ปาหนัน เป็นพยานไม่ได้ตามกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน ศาลฎีกาเห็นว่า นางสาวนวลจันทร์ ปาหนัน มาเบิกความในฐานะเป็นพยานโจทก์ โดยเป็นผู้รู้เห็นเรื่องราวที่เบิกความเองหาใช่มาเบิกความเป็นพยานแทนโจทก์ไม่ คำของนางสาวนวลจันทร์ปาหนัน จึงรับฟังเป็นพยานได้ตามกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน
ส่วนในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาฟังว่า บ้านเป็นของนายเกษมสามีโจทก์ให้จำเลยเช่า แต่จำเลยไม่ได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่า โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทไม่ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์