คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2724/2516

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายคำฟ้องอย่างแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งโจทก์มิได้อ้างข้อที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เช่นนี้ฎีกาของจำเลยมิได้บรรยายว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่ชัดแจ้งตรงไหนอย่างไร ตามคำให้การของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยหลงข้อต่อสู้ตรงไหน จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2504 จำเลยทำสัญญาเช่าตึกเลขที่ 29/1 ตรอกศาลเจ้าเจ็ด ถนนเจริญกรุง จังหวัดพระนคร จากโจทก์ตามสำเนาสัญญาเช่าท้ายฟ้อง เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าโจทก์ให้จำเลยเช่าต่อโดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไปจึงให้ทนายความบอกเลิกสัญญาเช่าจำเลยได้รับทราบแล้ว ไม่ยอมออกจากตึกพิพาท ทำให้โจทก์เสียหายเท่ากับค่าเช่าเดือนละ 80 บาท คิดตั้งแต่เดือนมกราคม 2513 ถึงวันฟ้องรวม 2 เดือน เป็นเงิน 160 บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเช่าเดือนธันวาคม 2512 ที่ค้าง 80 บาท และค่าเสียหาย160 บาท รวมเป็นเงิน 240 บาทแก่โจทก์ และค่าเสียหายต่อไปเดือนละ80 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไป กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งไม่แน่นอน ขาดสารสำคัญและรายละเอียด จำเลยได้เช่าตึกพิพาทจากโจทก์จริง แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยจำเลยเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกพิพาทให้โจทก์ 50,000 บาท โจทก์ให้จำเลยเช่า 20 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2504 เป็นต้นไป แต่เขียนในสัญญาเช่าเพียงปีเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เสียค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ให้จำเลยอยู่มาเพียง 9 ปีเท่านั้นจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยผิดนัดชำระค่าเช่า ค่าเช่าเดือนธันวาคม 2512 จำเลยชำระแล้วตามสำเนาใบเสร็จรับเงินท้ายคำให้การ ค่าเช่าเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 2513 จำเลยก็ชำระให้โจทก์แล้ว จำเลยไม่เคยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า นายชิงชัย สุขุมพัฒน์ ไม่ได้เป็นทนายความ จึงไม่อาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาอย่างเช่นทนายความ

ก่อนสืบพยาน โจทก์แถลงว่าไม่ติดใจเรียกค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 240 บาทจากจำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมจำเลยไม่ได้ให้เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกพิพาท 50,000 บาทแก่โจทก์สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทนโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายชิงชัย สุขุมพัฒน์ บอกเลิกสัญญาเช่าตึกพิพาท ตามเอกสารหมาย จ. 4 และนายชิงชัย สุขุมพัฒน์ ได้มีหนังสือถึงจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่า ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 แล้ว จำเลยยังคงอยู่ในตึกพิพาท เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เท่าอัตราค่าเช่าเดือนละ 80 บาท พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ80 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากตึกพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 200 บาทแทนโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์125 บาทแทนโจทก์

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายคำฟ้องอย่างแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งโจทก์มิได้อ้างข้อที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เช่นว่านั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาจำเลยมิได้บรรยายว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แจ้งชัดตรงไหนอย่างไร ตามคำให้การจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหลงข้อต่อสู้ตรงไหน จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้

พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 150 บาท แทนโจทก์

Share