แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 มีหนี้สินจำนวนมาก เฉพาะที่มายื่น คำร้องขอรับชำระหนี้ มี 119 ราย เป็นจำนวนหนี้ถึง 262 ล้านบาท ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าตนเอง มีหนี้สินเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่กลับโอนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งเพื่อเป็นการชำระหนี้ภายในเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ ล้มละลาย ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้โอนทรัพย์สิน โดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามนัยของ มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 แล้ว
การโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการ ขอให้ล้มละลายตาม มาตรา 115 ถ้าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้โอน ทรัพย์สิน เพียงฝ่ายเดียวรู้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบ เจ้าหนี้อื่นก็เป็นการเพียงพอที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะร้องขอให้เพิกถอนการโอนได้แล้ว
บุคคลภายนอกแม้จะรับโอนมาโดยสุจริต และมีค่าตอบแทนแต่หากรับโอนไว้ภายหลังที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วย่อมไม่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 116
ย่อยาว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์เบ็นซ์ รุ่น ๒๘๐ เอส ได้โอนรถยนต์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา ๑๗๐,๐๐๐ บาท การโอนดังกล่าวอยู่ในระยะเวลา ๓ เดือน ก่อนมีการขอให้จำเลยที่ ๒ ล้มละลาย โดยมุ่งหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ต่อมาโจทก์ได้โอนรถยนต์นั้นให้แก่ นายจิรศักดิ์ รัชยะพงษ์ และนายจิรศักดิ์ ได้โอนต่อไปให้ร้อยตรีเติมพล เรืองศิริการรับโอนของนายจิรศักดิ์ และร้อยตรีเติมพล เป็นการรับโอนภายหลังที่มีการฟ้องขอให้จำเลยที่ ๒ ล้มละลาย จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา ๑๑๖ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนรถยนต์เบ๊นซ์ รุ่น ๒๘๐ เอส ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา ๑๑๕, ๑๑๖ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ หากไม่สามารถคืนกลับสู่ฐานะเดิมได้ก็ขอให้โจทก์ นายจิรศักดิ์ และร้อยตรีเติมพล ร่วมกันชดใช้ราคา ๑๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และนายจิรศักดิ์ ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการโอนรถยนต์เบ๊นซ์ รุ่น ๒๘๐ เอสหมายเลขทะเบียน กท.ฑ-๒๔๔๕ ระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ ระหว่างโจทก์กับนายจิรศักดิ์ รัชยะพงษ์ และระหว่างนายจิรศักดิ์ รัชยะพงษ์ กับร้อยตรีเติมพล เรืองศิริและให้กลับสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ ให้ผู้รับโอนทั้งสามร่วมกันใช้เงิน ๑๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และนายจิรศักดิ์ผู้รับโอนฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ โอนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ภายในระยะเวลา ๓ เดือน ก่อนมีการขอให้จำเลยที่ ๒ ล้มละลาย และนายจิรศักดิ์กับร้อยตรีกับร้อยตรีเติมพลรับโอนรถยนต์พิพาทต่อมาภายหลังจากที่มีการขอให้จำเลยที่ ๒ ล้มละลายแล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายตามมาตรา ๑๑๕ แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ นั้นถ้าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้โอนทรัพย์สินเพียงฝ่ายเดียวรู้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นก็เป็นการพอเพียงที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะร้องขอให้เพิกถอนการโอนได้แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความจากการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าจำเลยที่ ๒ มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก เฉพาะที่มายื่นคำร้องขอรับชำระหนี้มี ๑๙๙ รายเป็นจำนวนหนี้ถึง ๒๖๒ ล้านบาท ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๒ รู้อยู่แล้วว่าตนเองมีหนี้สินเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่กลับโอนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งเพื่อเป็นการชำระหนี้ ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ ๒ ได้โอนทรัพย์สินโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามนัยของมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ แล้ว
สำหรับการรับโอนรถยนต์พิพาทของนายจิรศักดิ์และร้อยตรีเติมพลซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๑๖ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช ๒๔๘๓ ก็ต่อเมื่อเป็นการรับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย ดังนั้นถึงแม้หากจะฟังว่านายจิรศักดิ์และร้อยตรีเติมพลรับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับความคุ้มครองเพราะรับโอนในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นเวลาภายหลังการขอให้ล้มละลาย ฎีกาของโจทก์และนายจิรศักดิ์ รัชยะพงษ์ ฟังไม่ขึ้นศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าความเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้