แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้จัดการและเป็นพนักงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจำกัดโจทก์ตามลำดับโดยจำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดโดยเบียดบังยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมและเงินที่สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่าสมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเอียดเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงขาดสารสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งสหกรณ์พ.ศ. 2511 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของโจทก์ตำแหน่งผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดเก็บเงินสะสมรายเดือน เงินหุ้นเงินฝาก จ่ายเงินกู้ จัดทำเอกสารเกี่ยวกับเงินกู้ ดำเนินการอย่างอื่นเกี่ยวกับเรื่องการให้กู้เงิน รับผิดชอบในการรับจ่ายเงินทั้งปวงของโจทก์ รวบรวมใบสำคัญและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเงิน เก็บรักษาเงินสดของโจทก์รับผิดชอบการจัดทำบัญชีและอื่น ๆ จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์มีหน้าที่เก็บสะสมเงินเงินหุ้น เงินฝาก เงินชำระหนี้และรับจ่ายเงิน เก็บรักษาเงินสดของโจทก์ในเขตอำเภอกาบเชิง ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้รับผิดชอบและอยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2528คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม2528 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันทุจริตรับเงินจากสมาชิกของโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมจำนวน 7,400 บาทและรับเงินที่สมาชิกนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำนวน 113,500 บาทแล้วจำเลยทั้งสองไม่นำเงินส่งเข้าบัญชีของโจทก์ แต่ได้ร่วมกันลงบัญชีรายรับของโจทก์ว่าได้รับชำระหนี้จากสมาชิกดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ทั้งได้ลงรายการว่าได้ขายหุ้นให้แก่สมาชิกแล้วจำนวน7,400 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงินส่งเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และเป็นรายรับของโจทก์ กับร่วมกันเบียดบังเอาเงินจำนวน 120,900 บาท เป็นของจำเลยทั้งสองและจากการตรวจสอบบัญชีงบปีต่อเนื่องระหว่าง พ.ศ. 2527 และพ.ศ. 2528 พบว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลงรายการแสดงยอดเงินในบัญชีลูกหนี้ของโจทก์ไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงโดยในพ.ศ. 2527 จำเลยทั้งสองได้รับชำระหนี้จากสมาชิกของโจทก์จำนวน33 รายการ เป็นเงิน 162,600 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่นำเงินส่งเข้าบัญชีของโจทก์แต่กลับแสดงบัญชีต่อคณะกรรมการดำเนินการว่าได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว และร่วมกันเบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นของจำเลยทั้งสองอันเป็นการทุจริต ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายฟ้องให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 กระทำการอย่างใด เมื่อใดและในลักษณะเช่นใด ในแต่ละครั้งที่เป็นการละเมิด ทั้งไม่แสดงหลักฐานที่แสดงว่า การกระทำของจำเลยเป็นละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่า เงินจากสมาชิกซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมจำนวน 7,400 บาท และเงินที่สมาชิกนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 113,500 บาท ในปี 2528 และจำนวน 162,600 บาท ในปี 2527มีจำนวนกี่หุ้น หุ้นละเท่าใด จำนวนกี่ราย รายละเท่าใด ใครบ้างชำระให้เมื่อใดเป็นหนี้ค่าอะไร รับมาจากสมาชิกของโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตใด เป็นหน้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่โจทก์คนใดข้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้เงิน 287,869.99 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 283,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3เพียงว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 เคลือบคลุมหรือไม่พิเคราะห์คำฟ้องโจทก์มีใจความสำคัญว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้จัดการและเป็นพนักงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ โจทก์ตามลำดับ ต่างมีหน้าที่เกี่ยวกับจัดเก็บเงินสะสมรายเดือนเงินหุ้น เงินฝาก เก็บรักษาเงินสดของสหกรณ์ โดยจำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ต่อมาเดือนสิงหาคม 2528 กรรมการตรวจสอบบัญชีของโจทก์ตรวจสอบพบว่าตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม 2528จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันทุจริตรับเงินจากสมาชิกสหกรณ์โจทก์ ซึ่งประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่มเติมจำนวน 7,400 บาท และรับเงินที่สมาชิกนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำนวน 113,500 บาท แล้วไม่นำเงินส่งเข้าบัญชีของโจทก์ แต่ร่วมกันลงบัญชีรายรับของโจทก์ว่าได้รับชำระหนี้จากสมาชิกในจำนวนเงินดังกล่าว และพบว่าเมื่อพ.ศ. 2527 จำเลยทั้งสองได้รับชำระหนี้จากสมาชิกของโจทก์จำนวน33 ราย เป็นเงิน 162,600 บาท แล้วจำเลยทั้งสองเบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวแต่แสดงบัญชีต่อคณะกรรมการดำเนินงานว่าได้รับชำระหนี้จากสมาชิกจำนวน 33 คน ครบถ้วน เห็นว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิด โดยเบียดบังยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติม และเงินที่สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่า สมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดสารสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172เป็นฟ้องเคลือบคลุม”
พิพากษายืน