คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2713/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้หนี้ตามสัญญาจะเนื่องมาจากต.ภริยาโจทก์นำบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสไปจำนองประกันหนี้ที่จำเลยกู้ยืมเงินจากธนาคารและโจทก์กับภริยาต้องชำระหนี้แทนจำเลยจึงเป็นเจ้าหนี้จำเลยร่วมกันแต่สัญญาพิพาทระบุว่าไว้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยยืมเงินจากต.และชำระหนี้เป็นเช็ครวม4ฉบับซึ่งรวมเช็คพิพาทด้วยโจทก์ลงชื่อเป็นพยานเท่านั้นก็ต้องฟังว่าจำเลยยืมเงินจากต.และออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่ต. ไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมไม่ใช่ผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า แม้หนี้ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.10จะเนื่องมาจากนางตาภริยาโจทก์นำบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสไปจำนองเป็นประกันหนี้ที่จำเลยกู้ยืมจากธนาคาร และโจทก์กับนางตาต้องชำระหนี้แก่ธนาคารแทนจำเลยจึงเป็นเจ้าหนี้จำเลยร่วมกันตามฎีกาของโจทก์ก็ตาม แต่ตามสัญญาดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยยืมเงินจากนางตาและชำระหนี้เป็นเช็ครวม 4 ฉบับซึ่งรวมเช็คพิพาทด้วย โดยจำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ นางตาลงลายมือชื่อในช่องผู้ให้กู้ ส่วนโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องพยานเท่านั้น ก็ต้องฟังว่าจำเลยยืมเงินจากนางตาและออกเช็คพิพาทชำระหนี้ให้แก่นางตา ไม่ได้ชำระให้แก่โจทก์ โจทก์จะอ้างว่าในสัญญาเอกสารหมาย จ.10 ที่มีชื่อนางตาเป็นผู้ให้กู้เพียงคนเดียวเพราะโจทก์ให้นางตากระทำการแทนและโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทร่วมกับนางตาหาได้ไม่ โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) ไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 28(2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share