แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ได้สั่งให้โจทก์ทำความสะอาดทางระบายน้ำเสีย โจทก์ไม่ยอมทำอ้างว่าสกปรกเกินไป ป.ภรรยาพ. ผู้จัดการห้างจำเลยจึงบอกแก่โจทก์ว่า “ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องออกจากงาน” มิได้กล่าวให้เป็นกิจจะลักษณะว่าจำเลยจะเลิกจ้างโจทก์และ ป. มิได้เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าได้รับมอบหมายจาก พ. ป. จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ ไม่มีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ การที่โจทก์ออกจากงานไปยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้กระทำผิด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และคืนเงินประกัน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์ละทิ้งงานไปเอง จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องให้โจทก์ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 47 พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และเงินประกันให้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2530 จำเลยได้สั่งให้โจทก์ทำความสะอาดทางระบายน้ำเสีย แต่โจทก์ไม่ยอมทำอ้างว่าสกปรกเกินไป นางปัทมา อุ่นพิพัฒน์ ภรรยานายไพบูลย์อุ่นพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดพี.พี.เท็กซ์ไทล์ จำเลย จึงบอกโจทก์ว่า ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องออกจากงาน โจทก์จึงออกจากงานไป เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยสั่งให้โจทก์ทำความสะอาดทางระบายน้ำเสีย แต่โจทก์ไม่ทำอ้างว่าสกปรกเกินไป นางปัทมาจึงบอกกับโจทก์ว่า “ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องออกจากงาน” นั้นมิได้กล่าวให้เป็นกิจจะลักษณะว่าจำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ อาจเป็นเพียงคำขู่ให้โจทก์ทำงานตามที่จำเลยสั่งก็ได้นอกจากนี้จำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การเลิกจ้างลูกจ้างเป็นอำนาจของผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่านางปัทมาเป็นผู้รับมอบหมายจากนายไพบูลย์ผู้มีอำนาจกระทำการแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.พี.เท็กซ์ไทล์ จำเลยแม้นางปัทมาจะเป็นภรรยาของนายไพบูลย์ผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยผู้เป็นนายจ้างของโจทก์ก็ตาม นางปัทมาก็ไม่อยู่ในฐานะนายจ้างของโจทก์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จึงไม่มีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกค่าชดเชยตามข้อ 46 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา 582 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใด ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินประกันคืนให้แก่โจทก์นั้น ในปัญหาข้อนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เงินประกันเป็นเงินที่จำเลยให้โจทก์วางไว้เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นจากการกระทำของโจทก์ขณะที่เป็นลูกจ้างจำเลย แต่ปัจจุบันนี้โจทก์ได้ออกจากจำเลยไปแล้วและก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายแต่ประการใด จึงไม่มีเหตุที่จะยึดเงินประกันของโจทก์ไว้ เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่าโจทก์ได้ออกจากงานโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเช่นนี้ จำเลยผู้เป็นนายจ้างจึงไม่มีอำนาจที่จะยึดเงินประกันจำนวนดังกล่าวได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันแก่โจทก์นั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง