คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2706/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขออาศัยอยู่ในที่พิพาทจากเจ้าของเดิม น. ซื้อที่พิพาทมาแล้ว ได้ทำสัญญาจะขายให้จำเลย ต่อมา น. ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท เช่นนี้ เมื่อจำเลยมิได้ฟ้องน. ผู้โอนที่พิพาทให้โจทก์ และมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการโอนที่พิพาทจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยให้เพิกถอนการซื้อขายที่พิพาทระหว่าง น. และโจทก์โจทก์จึงยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามสัญญาซื้อขายอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยอาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดิน ต่อมาเจ้าของที่ดินขายที่ดินและบ้านให้แก่นางนฤมล และนางนฤมลได้ขายที่ดินให้โจทก์ โจทก์ให้จำเลยออกจากที่ดิน จำเลยก็ไม่ยอมออก ขอให้บังคับจำเลยออกไป

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อที่พิพาทก่อนแล้ว แล้วนางนฤมลโอนขายที่ดินให้โจทก์โดยกลฉ้อฉลไม่สุจริต จำเลยอยู่ในฐานะจะได้รับโอนที่ดินแปลงนี้ก่อนโจทก์ บ้านยังเป็นของจำเลยอยู่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์โอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางนฤมลซื้อที่พิพาทโดยมีเงื่อนไขว่านางนฤมลยอมให้จำเลยซื้อที่ดินคืนภายใน 1 ปี จำเลยไม่อาจซื้อคืนได้ ถือว่าจำเลยสละสิทธิ นางนฤมลบอกขายที่ดินให้โจทก์มิได้สมคบกันฉ้อฉลจำเลย และจำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งให้โจทก์ขายที่พิพาทให้

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ 38973 ถนนลาดพร้าว (ออเป้า) เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 281 ตารางวา เป็นของนางลัดดาภริยาโจทก์ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.3 เมื่อ พ.ศ. 2512 จำเลยและนายชาญได้ร่วมกันเช่าซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางลัดดาราคาตารางวาละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 140,500 บาท โดยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ 1,500 บาท แต่ไม่ได้ทำหลักฐานการเช่าซื้อไว้ ระหว่างชำระค่าเช่าซื้อยังไม่ครบจำนวน นายชาญได้ถอนตัวออกและให้จำเลยเป็นผู้เช่าซื้อที่ดินแต่ผู้เดียว ครั้น พ.ศ. 2515 จำเลยสร้างบ้านไม้สองชั้น เลขที่ 7/2 ลงในที่ดินที่เช่าซื้อ และนางลัดดายอมจดทะเบียนภารจำยอมให้จำเลยเดินผ่านที่ดินของนางลัดดาได้ ตามเอกสารหมาย ล.1, ล.2 และ ล.3 ตามลำดับ วันที่ 20 ธันวาคม 2515 จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินจำนวน 40,000 บาทให้นางลัดดาตามเอกสารหมาย ล.4 นางลัดดาฟ้องเรียกเงินกู้จำนวนดังกล่าวจากจำเลยต่อศาล ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องแก่นางลัดดาแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7407/2519 ของศาลแพ่ง วันที่ 27 ธันวาคม 2515 นางลัดดาขายเฉพาะที่ดินตามโฉนดที่ 38973 ให้นางนฤมลราคา 118,000 บาท โดยนางนฤมลรับโอนภารจำยอมไปด้วย ตามเอกสารหมาย ล.5 และสารบัญจดทะเบียนอันดับสอง ในเอกสารหมาย ล.3 และในวันที่ 27 ธันวาคม 2515 นั้นเอง นางนฤมลทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินตามโฉนดที่ 387973 ให้จำเลยและมีบันทึกการผ่อนชำระราคาที่ดินรวม 9,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.6 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2518 นางนฤมลขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 38973 พร้อมบ้านไม้สองชั้นเลขที่ 7/2 ให้โจทก์ในราคา 80,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.7 และสารบัญจดทะเบียนอันดับ 3 ในเอกสารหมาย ล.3

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาท เพราะได้รับโอนมาด้วยการฉ้อฉลและไม่สุจริตนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเมื่อจำเลยมิได้ฟ้องนางนฤมลผู้โอนที่พิพาทให้โจทก์และมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการโอนที่พิพาท จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางนฤมลและโจทก์ โจทก์จึงยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามสัญญาซื้อขายอยู่

พิพากษายืน

Share