คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2699/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและ ต. เป็นกรรมการของบริษัท ม. ชั่วคราวคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ แม้ในคำร้องจะขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งก็ตาม แต่จากข้ออ้างในคำร้องประกอบด้วยพฤติการณ์แห่งคดีเมื่อเป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้คัดค้านประสงค์ที่จะให้ศาลมีคำสั่งถอดถอนผู้ร้องและ ต. ออกจากการเป็นกรรมการชั่วคราวของบริษัท ม. แล้วตั้งผู้คัดค้านเป็นกรรมการชั่วคราวของบริษัท ม. แทน ซึ่งผู้ร้องและ ต. คัดค้านคำร้องดังกล่าวของผู้คัดค้าน เมื่อมูลคดีเป็นเรื่องผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของนิติบุคคล กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70,73 กรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนข้อเท็จจริงให้ได้ความว่ามีเหตุสมควรที่จะถอดถอนผู้ร้องและ ต. ออกจากการเป็นกรรมการชั่วคราวแล้วตั้งผู้คัดค้านเป็นกรรมการชั่วคราวของบริษัท ม. แทนหรือไม่ และมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งงดการไต่สวนและส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณานั้น เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
คดีจะขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ทั้งนี้ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์ แต่คดีนี้กลับขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์โดยคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการไต่สวนคำร้องของผู้คัดค้านและส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา และศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งยกคำร้องของผู้คัดค้านโดยไม่มีการวินิจฉัยถึงคำสั่งศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาแม้ผู้คัดค้านจะไม่ฎีกามาก็ตาม แต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนกรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),243,247 ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี และให้ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้คัดค้าน แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2536 นายเชียง ชวน ฮวง กรรมการบริษัทถึงแก่กรรม วันที่ 26 กันยายน 2536 พันตำรวจเอกถาวร จิริยะสิน กรรมการบริษัทอีกคนหนึ่งลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท เป็นผลให้กรรมการบริษัทเหลือเพียงคนเดียวคือนางเชน ฮุยชิง ฮวง ไม่สามารถทำนิติกรรมให้มีผลผูกพันบริษัทได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทด้วยเป็นผู้แทนชั่วคราวของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ เป็นกรรมการของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด ชั่วคราว โดยให้ผู้ร้องหรือนางเชน ฮุยชิง ฮวง คนใดคนหนึ่งลงลายมือชื่อร่วมกับนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ และประทับตราสำคัญของบริษัทมีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้

ผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนายเชียง ชวน ฮวง ผู้ถือหุ้นในบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการชั่วคราวของบริษัทเมืองรุ้งจำกัด แล้ว ผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ มิได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อจัดตั้งกรรมการตามข้อบังคับของบริษัทแต่กลับนำคำสั่งของศาลไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท อันเป็นการขัดต่อขั้นตอนการปฏิบัติในการดำเนินการจดทะเบียนเกี่ยวกับบริษัทอันจำต้องกระทำ และบุคคลทั้งสองได้กระทำการอันพึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน เป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทเป็นอย่างมาก ทั้งมิได้ดำเนินการใด ๆ อันจะทำให้บริษัทมีรายได้ขึ้นมาโดยได้ปิดที่ทำการบริษัทเป็นการถาวร นำทรัพย์สินออกขายโดยเงินที่ได้มิได้นำมาชำระหนี้ของบริษัทแต่อย่างใด พฤติการณ์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าบุคคลทั้งสองมิได้กระทำการใด ๆให้สมกับฐานะการเป็นกรรมการบริษัท จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและมีคำสั่งถอดถอนผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ ออกจากการเป็นผู้แทนชั่วคราวของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด และมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้แทนชั่วคราวของบริษัทดังกล่าวต่อไป

ผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง และไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งถอดถอนผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ออกจากการเป็นผู้แทนชั่วคราวของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด ขอให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากบุคคลที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นกรรมการทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ผู้คัดค้านในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ถือหุ้นก็ชอบที่จะฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่มาร้องคัดค้านในคดีนี้ แต่อย่างไรก็ตามกรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านร้องขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง จึงให้รวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ตามคำร้องของผู้คัดค้านเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งถอดถอนกรรมการที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแต่งตั้งให้เป็นกรรมการชั่วคราว และขอให้แต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นกรรมการแทน โดยอ้างข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังจากศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาไปแล้ว กรณีจะมีเหตุที่จะอ้างโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อถอดถอนกรรมการที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแต่งตั้งให้เป็นกรรมการชั่วคราวและแต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นกรรมการแทนได้หรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นจะพิจารณาสั่ง ผู้คัดค้านชอบที่จะขอต่อศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้อง

ผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มูลคดีเป็นเรื่องผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของนิติบุคคล กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70, 73 ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2537 ที่มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ เป็นกรรมการของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด ชั่วคราว ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2539 ผู้คัดค้านยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ แม้ในคำร้องจะขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งก็ตาม แต่จากข้ออ้างในคำร้องประกอบด้วยพฤติการณ์แห่งคดีเป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้คัดค้านประสงค์ที่จะให้ศาลมีคำสั่งถอดถอนผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ ออกจากการเป็นกรรมการชั่วคราวของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด แล้วตั้งผู้คัดค้านเป็นกรรมการชั่วคราวของบริษัทเมืองรุ้งจำกัด แทนนั่นเอง ซึ่งผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ คัดค้านคำร้องดังกล่าวของผู้คัดค้าน กรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนข้อเท็จจริงให้ได้ความว่า มีเหตุสมควรที่จะถอดถอนผู้ร้องและนายเติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ ออกจากการเป็นกรรมการชั่วคราวแล้วตั้งผู้คัดค้านเป็นกรรมการชั่วคราวของบริษัทเมืองรุ้ง จำกัด แทนหรือไม่ และมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งงดการไต่สวนและส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

สำหรับศาลอุทธรณ์นั้นโดยปกติคดีจะขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ทั้งนี้ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในภาค 3 ลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์ แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ คดีกลับขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์โดยคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวและศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งยกคำร้องของผู้คัดค้านโดยไม่มีการวินิจฉัยถึงคำสั่งศาลชั้นต้นเห็นว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาเช่นกัน แม้ผู้คัดค้านจะไม่ฎีกามาก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5), 243, 247 ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ และเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2539 ที่ให้งดการไต่สวนและส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณา และยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 ที่ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้คัดค้านแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป

Share