แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ลูกจ้างจะได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของพนักงานแรงงานจังหวัดต่ออธิบดีกรมแรงงาน และอธิบดีกรมแรงงานเห็นว่านายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง จึงมีหนังสือแจ้งให้นายจ้างนำเงินค่าชดเชยไปชำระให้ลูกจ้างก็ตามการอุทธรณ์เช่นนี้มิใช่เป็นวิธีการซึ่งกฎหมายบัญญัติให้จำต้องปฏิบัติ การที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามความเห็นของอธิบดีกรมแรงงานจึงไม่ทำให้นายจ้างต้องรับผิดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะหนังสือของอธิบดีกรมแรงงานเป็นเพียงคำเตือนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ เท่านั้น และปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้อธิบดีกรมแรงงานจำเลยจะมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในศาลชั้นต้นก็ยังมีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกาได้
เมื่อการเล่นการพนันเป็นการต้องห้ามตามระเบียบของนายจ้างการที่ลูกจ้างเล่นการพนันนอกเวลาปฏิบัติงานในหอพักซึ่งนายจ้างจัดให้เป็นที่อยู่อาศัยของคนงานภายในบริเวณโรงงานและเป็นการพนันไฮโลว์ตามบัญชี ก. ท้ายพระราชบัญญัติการพนันฯ ย่อมจะเป็นชนวนวิวาทบาดหมางในหมู่คนงานด้วยกันและชักนำให้ประกอบอาชญากรรมอย่างอื่นได้ มีผลกระทบกระเทือนถึงการผลิตและชื่อเสียงของโรงงานนายจ้าง จึงถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของนายจ้างอันเป็นกรณีที่ร้ายแรง นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นได้ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องว่ากล่าวตักเตือนก่อนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้
ย่อยาว
คดี 4 สำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาและพิพากษารวมกันมาโดยเรียกบริษัทโรงงานฟอกย้อมฯ จำกัด ว่าโจทก์ เรียกนายจำรูญ เจริญกุลกับพวก (คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์) จำเลยในสำนวนที่ 4 ว่า จำเลยที่ 1ถึงที่ 8 เรียกกรมแรงงานกับพวก จำเลยในสำนวนที่ 2 ว่า จำเลยที่ 9 และที่ 10เรียกนายทวี เทพมา และนายวิชัย เรืองศิริ (ลูกจ้าง) โจทก์ในสำนวนที่ 1และที่ 3 ว่าจำเลยที่ 11 และที่ 12
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 11 และที่ 2 กับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์มั่วสุมเล่นการพนันในห้องพักโรงงานโจทก์ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 11ที่ 12 ส่งฟ้องศาลและศาลพิพากษาลงโทษปรับ ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีคำสั่งเลิกจ้างและไม่จ่ายค่าชดเชยให้ จำเลยทั้งสองร้องเรียนต่อพนักงานแรงงานจังหวัด พนักงานแรงงานจังหวัดเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อจำเลยที่ 10 จำเลยที่ 9 และที่ 10 เห็นว่าการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 11 และที่ 12 ไม่เป็นกรณีร้ายแรงควรตักเตือนเป็นหนังสือก่อนที่จะเลิกจ้าง โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำเลยที่ 11 และที่ 12ได้ยื่นข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ด้วยซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 11และที่ 12 นั้น เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมฝ่าฝืนมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 11 และที่ 12 ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 9และที่ 10 และเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8
จำเลยที่ 9 และที่ 10 ให้การว่า จำเลยที่ 11 และที่ 12 ลูกจ้างโจทก์ได้เล่นการพนันจริง แต่เล่นที่หอพักอันเป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยที่ 11 และที่ 12 และเล่นนอกเวลาทำงาน เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหอพักแต่ก็ไม่ใช่กรณีร้ายแรง หากโจทก์จะเลิกจ้างต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) คำสั่งของจำเลยที่ 9 และที่ 10 ชอบแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามข้อ 46(3) แห่งประกาศดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ให้การว่า โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 11 และที่ 12ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพกาจ้างมีผลใช้บังคับ จำเลยที่ 11 และที่ 12 มิได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของโจทก์อันเป็นกรณีร้ายแรงอันควรเลิกจ้างได้ตามมาตรา 123(3) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำเลยที่วินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 123 นั้น ไม่เป็นการวินิจฉัยขัดต่อประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 เพราะโจทก์ต้องจ่ายค่าชดเชยให้จำเลยที่ 11 และที่ 12 ดังที่อธิบดีกรมแรงงานวินิจฉัย ในขณะเดียวกันโจทก์ได้กระทำการอันไม่เป็นธรรมต่อจำเลยที่ 11 และที่ 12 ด้วยการฝ่าฝืนมาตรา 123 ด้วย โจทก์จึงต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 11 และที่ 12 อีกโสดหนึ่ง การเรียกร้องค่าชดเชยไม่ตัดสิทธิหรือประโยชน์ซึ่งจำเลยที่ 11 และที่ 12 จะพึงได้ตามกฎหมายอื่นตามข้อ 76 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจและหน้าที่ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 41(4) ในการสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 11 และที่ 12ที่ถูกโจทก์เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมได้ ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่ 1 และที่ 3 จำเลยที่ 11 และที่ 12 ฟ้องว่า โจทก์ได้จ้างจำเลยที่ 11 และที่ 12 เป็นลูกจ้างประจำ จำเลยที่ 11 และที่ 12 กับพวกได้ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ในหอพักซึ่งอยู่ในบริเวณโรงงานและถูกศาลพิพากษาลงโทษ โจทก์จึงเลิกจ้างจำเลยทั้งสองโดยไม่จ่ายค่าชดเชยให้ จำเลยทั้งสองได้ร้องเรียนต่อแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ แรงงานจังหวัดสมุทรปราการวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมแรงงาน อธิบดีกรมแรงงานวินิจฉัยให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้จำเลยที่สิบเอ็ด 8,280 บาท จ่ายให้จำเลยที่สิบสอง 9,810 บาท โจทก์ไม่จ่าย จำเลยทั้งสองได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายให้จำเลยที่สิบเอ็ด 11,000 บาท จ่ายให้จำเลยที่สิบสอง 23,000 บาท ขอให้บังคับให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยและค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสองตามจำนวนดังกล่าว
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 11 และที่ 12 เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งอันเป็นกรณีร้ายแรง โจทก์ชอบที่จะเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องตักเตือนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ทั้งยังเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะทำได้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) ต้องด้วยข้อยกเว้นของการห้ามเลิกจ้างตามมาตรา 123(3) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมแรงงาน และเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ยกฟ้องคดีที่จำเลยที่ 11 และที่ 12 เป็นโจทก์นั้นเสีย
จำเลยทั้งหมดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาทั้ง 4 สำนวน
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า แม้จำเลยที่ 11 และที่ 12 ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 10 จำเลยที่ 10 พิจารณาอุทธรณ์ประกอบกับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้จำเลยที่ 11 และที่ 12 จึงมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินค่าชดเชยไปชำระให้จำเลยที่ 11 และที่ 12 แต่การอุทธรณ์เช่นนี้มิใช่เป็นวิธีการซึ่งกฎหมายบัญญัติให้จำต้องปฏิบัติ และการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามความเห็นของจำเลยที่ 10 ก็ไม่ทำให้โจทก์ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด หนังสือของจำเลยที่ 10 คงมีผลเป็นเพียงคำเตือนตามนัยแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 77 เท่านั้น แม้โจทก์จะเรียกหนังสือของจำเลยที่ 10 นี้ว่า คำสั่งและคำวินิจฉัย แต่โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนเสียได้และปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 9 และที่ 10 จะมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในศาลชั้นต้นก็ยังมีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกา
การที่ลูกจ้างเล่นการพนันจะเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นนายจ้างเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ โดยไม่จำต้องว่ากล่าวตักเตือนก่อนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้หรือไม่นั้นถึงพิจารณาจากการเล่นการพนันนั้น ๆ แต่ละรายไปว่าเป็นกรณีที่ร้ายแรงหรือไม่ สำหรับการเล่นการพนันของจำเลยที่ 11 และที่ 12 นี้ แม้จะเล่นนอกเวลาปฏิบัติงาน แต่ก็เล่นในหอพักซึ่งโจทก์จัดให้เป็นที่อยู่อาศัยของคนงานทั้งหลายภายในบริเวณโรงงาน และเป็นการพนันไฮโลว์ซึ่งเป็นการพนันตามบัญชี ก. ท้ายพระราชบัญญัติการพนันย่อมจะเป็นชนวนวิวาทบาดหมางในหมู่คนงานด้วยกันและชักนำให้ประกอบอาชญากรรมอย่างอื่นได้ มีผลกระทบกระเทือนถึงการผลิตและชื่อเสียงของโรงงานโจทก์ จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของโจทก์อันเป็นกรณีที่ร้ายแรงโจทก์มีสิทธิเลิกจ้างจำเลยที่ 11 และที่ 12 โดยไม่ต้องว่ากล่าวตักเตือนก่อนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเฉพาะส่วนที่เพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมแรงงานเป็นว่า ให้ยกฟ้องคดีสำนวนที่ 2 ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 9และที่ 10 นั้นเสีย นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง