คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2694/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีที่ผู้ว่าคดีศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญา โจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เพราะถือว่าผู้ว่าคดีฟ้องคดีที่โจทก์เป็นผู้เสียหายนั้นเอง(อ้างฎีกาที่ 1134-1135/2509)
โจทก์จำเลยตกลงกันในคดีนี้ว่าขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีอาญาเสียก่อนถ้า ผลที่สุดของคดีอาญาเป็นอย่างไร โจทก์จำเลยจะถือตาม ดังนี้ เมื่อศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ประมาทโจทก์จะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ขอให้สืบพยานในข้อนี้ขึ้นอีกหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์โดยสารประจำทาง ได้ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนด ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงและไฟเหลืองที่ป้อมสัญญาณไฟทางร่วมด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยพุ่งเข้าชนรถยนต์ซึ่งโจทก์นั่งมา ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทุพพลภาพ ขอบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า รถยนต์ทั้งสองฝ่ายชนกันเป็นเพราะความประมาทของนายเอนกผู้ขับขี่รถยนต์เก๋งที่โจทก์นั่งมา โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าเสียหายตามฟ้องสูงเกินไปและไกลต่อเหตุฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ในคดีอาญาศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่านายเผือกจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำผิด จำเลยที่ ๑ จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างก็ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุนายเผือกจำเลยที่ ๑ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ ๒ ชนกับรถยนต์เก๋งซึ่งนายเอนกเป็นผู้ขับขี่โจทก์นั่งมาในรถยนต์เก๋งของนายเอนกได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ว่าคดีศาลแขวงพระนครใต้ได้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายเผือกและนายเอนกต่อศาลแขวงพระนครใต้ฐานความผิดขับรถประมาทชนกันเสียหายเป็นเหตุให้คนบาดเจ็บสาหัส ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๐/๒๕๑๐ของศาลแขวงพระนครใต้ นายเอนกและจำเลยที่ ๒ ต่างก็ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายซึ่งกันและกัน และโจทก์ก็ฟ้องคดีนี้ด้วย ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาคดีแพ่งทั้งสามคดีระหว่างพิจารณาคดีแพ่งที่ศาลชั้นต้นศาลแขวงพระนครใต้พิพากษายกฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์ว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษนายเผือกและนายเอนก โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายผู้หนึ่งในคดีดังกล่าวและผู้ว่าคดีอุทธรณ์ ขณะที่คดีอาญาดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คู่ความทั้งสามฝ่ายในคดีแพ่งตกลงกันไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า “คู่ความทั้งสามฝ่ายตกลงกันว่า ขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๐/๒๕๑๑ ของศาลแขวงพระนครใต้เสียก่อน ถ้าผลที่สุดแห่งคดีนี้เป็นอย่างไร คู่ความจะถือตาม และยอมรับว่าคู่ความนั้นเป็นผู้ละเมิดและจะยอมรับผิดตามนั้น แต่ถ้าคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์โดยจำเลยไม่ผิดตามฟ้อง นายเอนกกับบริษัทรถเมล์นายเลิดจำเลยที่ ๒ยอมเลิกคดี ไม่ติดใจเรียกร้องต่อกัน ขอให้ศาลแพ่งพิพากษาเฉพาะคดีนี้แต่สำนวนเดียว” ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายเผือกแต่ลงโทษนายเอนก โดยศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นายเอนกขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียว ส่วนนายเผือกจำเลยที่ ๑ หาได้ขับรถโดยประมาทดังโจทก์กล่าวหาไม่ นายเอนกฎีกา คดีเฉพาะนายเผือกจึงยุติแค่ศาลอุทธรณ์ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาว่านายเอนกไม่มีความผิด พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับนายเอนกด้วย นายเอนกและจำเลยที่ ๒ ต่างถอนฟ้องคดีของตนตามข้อตกลง ส่วนคดีนี้โจทก์ขอดำเนินคดีต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่เกี่ยวกับนายเผือกจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติว่า นายเผือกจำเลยหาได้ขับรถโดยประมาทดังโจทก์กล่าวหาในฟ้องคดีอาญานั้นไม่ โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีที่ผู้ว่าคดีศาลแขวงพระนครใต้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยนี้ในคดีอาญาโจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เพราะถือว่าผู้ว่าคดีฟ้องคดีที่โจทก์เป็นผู้เสียหายนั้นเองตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๓๔ – ๑๑๓๕/๒๕๐๙ นอกจากนั้นในคดีนี้โจทก์กับจำเลยยังได้ตกลงกันว่าขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีอาญาเสียก่อนถ้าผลที่สุดของคดีอาญาเป็นอย่างไร โจทก์จำเลยก็จะถือตาม ดังนั้นเมื่อศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ประมาท โจทก์จะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ขอให้สืบพยานในข้อนี้ขึ้นอีกหาได้ไม่เมื่อจำเลยมิได้ประมาท จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share