คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เป็นเรื่องที่คนอื่นยื่นคำร้องว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด หาใช่จำเลยในคดีเรื่องนั้นจะใช้สิทธิได้ด้วยไม่ ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและสั่งริบของกลาง จำเลยมิได้อุทธรณ์ขอให้ศาลสั่งคืนของกลางที่ถูกริบและคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ต้องบังคับคดีไปตามนั้น จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนของกลางหาได้ไม่

ย่อยาว

จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพในคดีเรื่องนี้เพราะความเข้าใจผิด ความจริงจำเลยซื้อไม้สักของกลางมาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงมิใช่ทรัพย์อันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ขอให้ศาลสั่งคืนไม้สักของกลางที่ศาลสั่งริบ
โจทก์คัดค้านว่า ศาลสั่งริบของกลางชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางที่ศาลได้สั่งริบแล้ว
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ได้ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ตลอดข้อหา ไม่ประสงค์ต่อสู้คดีแต่ประการใด ศาลชั้นต้นสั่งลงโทษจำเลยที่ ๑ และสั่งริบไม้สักของกลาง เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่อุทธรณ์ขอให้ศาลสั่งคืนไม้สักของลางที่ถูกริบ และคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ต้องบังคับคดีไปตามนั้น และการขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ เป็นเรื่องที่คนอื่นยื่นคำร้องว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด หาใช่จำเลยในคดีเรื่องนั้นจะใช้สิทธิได้ด้วยไม่ พิพากษายืน

Share